Skip to main content
sharethis

เสวนา "การกระตุ้นทางเศรษฐกิจกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : เหตุผลทางเศรษฐกิจ  และมุมมองทางสังคม" หวั่นกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านน้ำเมา ระวังเข้าทางพ่อค้ารายใหญ่รายเดิม


ที่มาภาพ: ไบโอไทย

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567, ห้องประชุม Social Innovation Hub ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สืบเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลเศรษฐา ผ่านเครื่องมือส่งเสริมการท่องเที่ยว ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง นำร่อง 4 จังหวัด และขยายเวลาการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น หลายกลุ่มตั้งคำถามและกังวลผลกระทบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอ้างตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดูลางเลือน ไม่เป็นจริง ข้อสงสัยต่อนโยบายนี้ว่าจะเอื้อประโยชน์แก่รายใหญ่มากกว่าจะเปิดโอกาสให้รายย่อยในชุมชนได้ลืมตาอ้าปาก ผลกระทบเชิงสังคมมากมาย เช่น จำนวนอุบัติจากคนเมาแล้วขับเมื่อขยายเวลาจำหน่ายมีตัวอย่างมากมายและน่ากลัว สะเทือนความรู้สึกของคนในสังคม หลายหลายมุมมองในเวทีเสวนาวิชาการ "การกระตุ้นทางเศรษฐกิจกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : เหตุผลทางเศรษฐกิจ  และมุมมองทางสังคม" เจ้าภาพชวนคุยเรื่องนี้ คือ สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิชีววิถี (BioThai)

มาตราการหลากรูปแบบและตัวอย่างจากต่างประเทศ

สิงคโปร์มีกลยุทธ์ดึงดูดเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และออกกฎหมายการควบคุมแอลกอฮอล์ ลดเวลาจำหน่ายไม่เกิน 22.30 น.ในร้านชำทั่วไป และไม่เกิน 23.59 น.ในผับบาร์ หากฝ่าฝืนจะโดนปรับสูงถึง 270,000 บาท โดยรัฐบาลสิงคโปร์มองว่า หากสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีมีคุณภาพ จะส่งผลให้ระบบการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพ จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งผลดีและเม็ดเงินด้านเศรษฐกิจที่มากกว่าด้วยซ้ำ ในนอร์เวย์ก็กำหนดมาตรการในเรื่องวันเวลาการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ชัดเจน ทำให้ประชาชนสามารถใช้เวลาร่วมกัน และมีสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นมากขึ้น นำมาซึ่งทุนในด้านของทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจมากมาย ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าถึงผลศึกษาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

สรัช สินธุประมา นักวิจัยจาก 101 PUB กล่าวว่า ในประเทศเปรู ปัญหาการดื่มคล้ายประเทศไทย การดื่มที่อันตรายเกิดขึ้นจากเศรษฐกิจในสังคมเกษตรที่ไม่สามารถเติบโตขึ้นมากกว่านี้ได้แล้ว นอกจากนั้นยังไม่สามารถควบคุมการดื่มของลูกหลานในชุมชนได้ เพราะว่า working hours ของผู้ปกครองสูง ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ทำให้เด็กต้องพึ่งพาสิ่งอื่นเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางจิตใจรวมถึงการบริโภคแอลกอฮอล์ในที่สุด ในประเทศแกมเบีย ผู้หญิงพึ่งพาตนเองได้จากการเป็นผู้ผลิตเบียร์ แต่หลังจากมีการตั้งโรงงานผลิตแบบอุตสาหกรรม ผู้ชายในชุมชนใช้เงินซื้อสุราแบบอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และได้รับความรุนแรงในครอบครัวมากขึ้น กรณีศึกษาในไทยที่จังหวัดขอนแก่น ก่อนหน้านี้ผู้คนจะดื่มสุราแช่หรือเหล้าโท การดื่มที่เกิดอันตรายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่ผ่านมา เป็นการดื่มสุราขาวคราวละมาก ๆ ที่เกิดจากโรงงานอ้อย นายทุนอ้อยเลี้ยงดูปูเสื่อคนงาน และให้สุราเป็นแรงจูงใจ

ข้อตกลง FTA ดั๊มราคาลง เพิ่มนักดื่มหน้าใหม่

ผศ.ดร.อริศรา ร่มเย็น เณรานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่าข้อตกลงการค้าเสรีที่รัฐบาลกำลังเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป(EU) จะทำให้ราคาที่ขายในประเทศลดลง ได้ลงพื้นที่สอบถามผู้ประกอบการสุราชุมชนและรายใหญ่ พบว่าสุรามีกลไกทางการตลาดเฉพาะตัว สุรานำเข้าจากต่างประเทศสื่อถึงรสนิยม หากราคาเครื่องดื่มลดลงจะเกิดนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นไปอีก 

รายใหญ่กินรวบ (เหมือนเดิม) รายย่อยตาย (เหมือนเดิม)

ในมุมการเมือง สส.วรภพ วิริยะโรจน์ จากพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงความเห็นว่า สิ่งที่ยังไม่เห็นจากรัฐบาลคือการปลดล็อกการผูกขาดเพื่อประโยชน์ของผู้ผลิตรายย่อย มองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและยืดอายุสินค้าเกษตร นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว การขยายเวลาเปิดปิดสถานบริการยังอยู่แค่ใน 4 จังหวัด และอยู่ในพื้นที่โซนนิ่งที่ไม่ได้ปรับมาเป็นเวลาสิบกว่าปี  มีการอภิปราย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมี 3 ฉบับ รวมฉบับของพรรคก้าวไกลด้วย แต่มีข่าวว่าสภาเสียงข้างมากจะไม่รับทั้ง 3ร่าง ในด้านต้นทุนทางสังคมมองว่า โทษเมาแล้วขับจะต้องเพิ่มขึ้นให้หนักกว่าเดิม และการทำโซนนิ่งเพื่อให้รัฐตรวจตราได้เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดในประเทศไทย และต้องดำเนินการ

สุภัค ก่ออิฐ ตัวแทนจากประชาชนเบียร์ เล่าว่าสถานการณ์ในพื้นที่จริง หลายๆจังหวัดที่มีมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น การมีโรงสุราท้องถิ่น (โรงเหล้า) เป็นการกระจายรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนในทุกส่วนทั้งในแง่ใช้วตถุดิบและแรงงานท้องถิ่น อยากเห็นรัฐบาลสนใจเรื่องการสร้าง ecosystem ไม่ให้คนเมาได้ขับรถ ระบบรับส่งผู้ดื่ม เช่น Grap ไปจนถึงการเพิ่มโทษที่เกิดจากการเมาแล้วขับ และเชื่อว่ามาตรการการแก้ไขผลกระทบจากแอลกอฮอล์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจสามารถไปด้วยกันได้

ดร.เฉลิมภัทร พงศ์อาจารย์ อาจารย์จากคณะบริหารธุรกิจเศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร มองว่า หากมีการลดมาตรการลงจะมีการเกิดการทดแทนกันของสินค้าเครื่องดื่ม สิ่งที่ผู้ผลิตสุราขาวกลัวคือมีเครื่องดื่มที่ทดแทนกันได้ และอยู่เหนือการควบคุม นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องของบรรจุภัณฑ์และปัญหาในเรื่องของโฆษณา เพราะถ้าหากมีการเปิดเสรีสุราจริงๆ กลุ่มที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือผู้จำหน่ายสินค้าสุรารายใหญ่มากกว่ารายย่อย

ในมุมตัวแทนผู้ประกอบการสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย คุณธนากร คุปตจิตต์ ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นในเรื่องของสินค้าเกษตร  ถ้าหากมองในมุมนี้สินค้าเกษตรสามารถนำมาแปรรูปเป็นสินค้าทั่วไป เพื่อเพิ่มมูลค่าได้ไม่เกิน 5-10 เท่า แต่ถ้าหากนำสินค้าทางด้านการเกษตรไปแปรรูปเป็นสินค้าในรูปแบบสินค้าแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มมูลค่าได้สูงถึง 50 เท่า  ถ้าหากมองในมุมเศรษฐกิจประเทศไทยหรือทั่วโลกพึ่งพ้นจากวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากสถานการณ์โควิด ให้แต่ละประเทศต้องมีการแข่งขัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนเอง และชัดเจนว่าสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องเป็นที่มีการควบคุมผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นประเด็นร่วมที่ได้รับความสนใจ ว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรรายย่อยเติบโต และสร้างอาชีพได้จริงๆ เหล้าถือว่าเป็นสินค้าพิเศษและสิ่งที่รัฐพยายามขับเคลื่อน แต่กลับไม่ได้ไปปลดล็อคในเรื่องของทุนผูกขาด การคลายความเข้มงวดของการขาย และ นโยบายการทำ FTA กับ EU ที่รัฐบาลกำลังผลักดัน กลับจะเข้าทางรายใหญ่ให้ยิ่งโต จนไม่มีพื้นที่ให้รายย่อยเติบโต และ สลายไปในที่สุด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net