Skip to main content
sharethis

สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) ยื่นหนังสือถึง รมว.แรงงาน โวย 'ไตรภาคี' ขึ้นค่าแรงสูงสุด 400 บาทไม่ทั่วไทย นำร่อง 'รายตำบล-อำเภอ' ชี้เป็นการปรับที่เลวร้ายที่สุดที่เท่าเคยเห็นมา สร้างความเหลื่อมล้ำ-แตกแยกในหมู่แรงงาน จี้ทบทวนด่วน ย้ำจุดยืนต้องขึ้นเท่ากันทั้งประเทศ ตัวแทนกระทรวงแรงงานรับส่งเรื่องถึง รมต.พิจารณา

 

27 มี.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง และเว็บไซต์ Voicelabour รายงานวันนี้ (27 มี.ค.) เวลาประมาณ 13.00 น. ที่กระทรวงแรงงาน เขตดินแดง จ.กรุงเทพฯ สาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) เดินมายื่นหนังสือถึง พิพัฒน์ รัชกิจประการ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีการทบทวนมติคณะกรรมการไตรภาคี ปรับค่าจ้างขั้นต่ำรายตำบลและอำเภอ สูงสุด 400 บาทต่อวัน และเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อเดือนเท่ากันทั่วประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและผู้ใช้แรงงาน เบื้องต้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ส่งสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน มารับหนังสือจากตัวแทนแรงงาน

สาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สสรท. ระบุว่า ข้อเสนอของ สสรท. คือ เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 492 บาททั่วประเทศ แต่ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยควรปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตัวเลข 400 บาทมันควรเท่ากันทั่วประเทศ เพราะว่าค่าครองชีพมันเพิ่มเกินค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไปเยอะแล้ว เช่น ค่าประปา ค่าไฟฟ้า 

สาวิทย์ แก้วหวาน (ที่มา: สหภาพคนทำงาน)

ประธาน สสรท. ระบุว่า รัฐบาลพาดหัวดูสวยหรูว่า ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 10 จังหวัด แต่ดูรายละเอียดมันขึ้นรายตำบล อำเภอ หรือเขตเทศบาล ซึ่งเขามองว่าเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างที่เลวร้ายมาก เพราะมันสร้างความเหลื่อมล้ำ แตกแยกย่อยในแรงงาน ดังนั้น ที่มาวันนี้เพื่อให้มีการทบทวนในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ใช้แรงงาน

ปัจจุบัน มีงานวิจัยระบุว่า ประชากรไทยควรได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 21,000 บาทต่อเดือน เพื่อการดำรงชีวิต และค่าแรงควรอยู่ที่ 34,000 บาทต่อเดือน จึงจะสามารถดูแลตนเอง และสามารถเลี้ยงดูสมาชิกครอบครัวได้ 

สำหรับคณะกรรมการไตรภาคี คือ เป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ทำหน้าที่ดำเนินการดูแลปัญหาของประชาชน และแรงงาน รวมถึงกรณีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 

"รัฐบาลมีอำนาจในการไปหามาตรการวิธีการในการแก้ไขโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ผมไม่ได้มองว่าเป็นการแทรกแซงอะไร" สาวิทย์ กล่าว และระบุว่า ข้อดีของการขึ้นค่าแรงเท่ากันจะสร้างความมั่นคง และอาชีพให้ประชาชน และจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมด้วย

ที่มา: สหภาพคนทำงาน

ด้าน มานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการ สรส. กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ถือว่าเป็นการปรับที่ไม่ได้คำนึงถึงแรงงานส่วนใหญ่ที่อยู่อย่างยากลำบากท่ามกลางราคาสินค้าที่แพง ซึ่งในส่วนของรัฐวิสาหกิจมีการจ้างแรงงานเหมาช่วงเหมาค่าแรง พนักงานชั่วคราวจำนวนมากที่ต้องรับค่าจ้างขั้นต่ำ และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่ทั่วถึง แต่กระทบต่อชีวิตของแรงงานที่รับค่าจ้างขั้นต่ำด้านข้าวของที่ปรับขึ้น ทาง สรส.จึงเสนอให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างเท่ากันทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเท่านั้น

สิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวหลังรับหนังสือว่า ข้อเรียกร้องที่ทางองค์กรแรงงานเสนอมานั้นเรื่องปรับขึ้นค่าจ้าง 492 บาทนั้น จริงๆ เท่าที่คำนวนแบบเร็วๆ ก็ยังเห็นว่าเป็นการปรับไม่ได้มากอะไร และเห็นด้วยหากมองว่า การที่คนทำงานจะอยู่รอดได้ค่าจ้างควรอย่างต่ำ 2 หมื่นกว่าบาท และการที่คณะกรรมการค่าจ้างมีการเสนอปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแบบไม่ทั่วถึงแต่กระทบทั่วหน้า ตอนที่มาบริหารกระทรวงฯ ก็คิดเหมือนกันถึงการปฏิรูประบบไตรภาคีที่มีอยู่ เข้าใจว่ายังไม่มีความเป็นตัวแทนของกลุ่มแรงงานได้จริง ซึ่งเรื่องนี้ต้องช่วยกันแกและเชิญชวนองค์กรแรงงานเข้ามาร่วมเป็นกรรมการไตรภาคีอย่าปล่อยให้แต่กลุ่มเดิมๆที่เป็นอยู่แบบนี้ตลอด ส่วนข้อเสนอที่ 2 องค์กรแรงงานเสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว 

ที่มา: สหภาพคนทำงาน

รายละเอียดแถลงการณ์ของ สสรท.

แถลงการณ์

สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)

เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั้งประเทศ และคัดค้านการปรับขึ้นค่าจ้างแบบเขตพื้นที่

ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างเสนอ ซึ่งมีอัตราการปรับตั้งแต่ 2-16 บาท ต่ำสุดอยู่ที่วันละ 330 บาท สูงสุดอยู่ที่วันละ 370 บาท ซึ่งการปรับค่าต้างครั้งนี้ มีการขยายเขตพื้นที่ในการปรับจากเดิม 13 ราคา เมื่อปี 2565 เป็น 17 บาท ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 พรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานโดยเสนอตัวเลขการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ วันละ 600 บาท ในปี 2570 แต่จะทยอยปรับในแต่ละปี โดยเริ่มที่วันละ 400 บาท ซึ่งต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่การปรับค่าจ้างขั้นต่ำกลับไม่ได้เป็นอย่างที่นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย หาเสียงไว้ แม้นายกรัฐมนตรีจะแสดงท่าทีไม่พอใจที่คณะกรรมการค่าจ้างเสนอตัวเลขการปรับค่าจ้างไปถึงกับออกปากว่า “ปรับได้อย่างไร 2 บาท ซื้อไข่ 1 ฟองยังไม่ได้เลย” จึงไม่นำเข้าพิจารณาในการประชุม คณะรัฐมนตรีวันที่ 12 ธันวาคม 2566 และสั่งกระทรวงแรงงานพิจารณาทบทวนแต่คณะกรรมการค่าจ้างที่มีโครงสร้างเป็นไตรภาคี คือ รัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง มีมติเอกฉันท์ก็ยืนยันตัวเลขเดิมรวมทั้งตัวแทนฝ่ายลูกจ้างเอง ในที่สุด คณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบตามนั้น ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 และสั่งการให้กระทรวงแรงงานนัดประชุมคณะกรรมการค่าจ้างใหม่ และจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำอีกครั้งในเดือนเมษายน 2567 

ในท่ามกลางข้อถกเถียงที่ยาวนาน และสังคมก็เห็นพ้องต้องกันว่าค่าจ้างจำเป็นต้องปรับ เพราะราคาสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีพและสินค้าทั่วไปทุกหมวด ทุกรายการปรับราคาแพงขึ้นอย่างมากและสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ก็ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยื่นข้อเสนอปรับค่าจ้าง พร้อมทั้งออกจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 492 บาท โดยให้มีค่าจ้างราคาเดียวเท่ากันทั้วประเทศ เพราะราคาสินค้าราคาไม่ได้แตกต่างกัน ต่างจังหวัดยังราคาแพงกว่าด้วยซ้ำ และเสนอให้ค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดให้เป็นค่าจ้างแรกเข้า และให้ทุกสถานประกอบการจัดทำโครงสร้างค่าจ้าง เพื่ออนาคตของคนทำงาน ครอบคลุมทั้งลูกจ้างภาครัฐ และเอกชน แรงงานภาคบริการ แต่เกิดความล่าช้าในการดำเนินการทบทวน สสรท.และ สรส. จึงนัดหมายเพื่อทวงถามเรื่องการปรับค่าจ้างในวันที่ 27 มีนาคม 2567 

26 มีนาคม 2567 มีการนัดประชุมคณะกรรมการค่าจ้างก่อนวันที่ สสรท. และ สรส. จะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จากการติดตามผลการประชุม ซึ่งออกมาในลักษณะที่ไม่เป็นไปตามที่ สสรท. และ สรส. เรียกร้องโดยคณะกรรมการค่าจ้างมีมติให้ปรับค่าจ้างวันละ 400 บาทใน 10 จังหวัด แต่เป็นการปรับบางพื้นที่ คือ

  1. กรุงเทพมหานคร เฉพาะเขตปทุมวัน และเขตวัฒนา
  2. จังหวัดกระบี่ เฉพาะเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง
  3. จังหวัดชลบุรี เฉพาะเขตเมืองพัทยา
  4. จังหวัดเชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลนครเชียงใหม่
  5. จังหวัดประจวบขีรีขันธ์ เฉพาะเขตเทศบาลหัวหิน
  6. จังหวัดพังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก
  7. จังหวัดภูเก็ต (ทั้งจังหวัด)
  8. จังหวัดระยอง เฉพาะเขตตำบลบ้านเพ
  9. จังหวัดสงขลา เฉพาะเขตเทศบาลนครหาดใหญ่
  10. จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฉพาะอำเภอเกาะสมุย

การปรับค่าจ้างตามที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติ ถือว่าเป็นการปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้นแต่เป็นการปรับที่ก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการ เป็นการสร้างความแปลกแยก แตกต่าง เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำเรื่องค่าจ้างแม้ในจังหวัดเดียวกัน ทั้งๆ ที่ราคาสินค้าไม่ได้มีราคาแยกตามพื้นที่ โดยเฉพาะราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปนั้นราคาเท่ากันทุกพื้นที่ทั้งประเทศ รวมทั้งค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ นั้น ราคาก็เท่ากันทั้งประเทศ มติที่ออกมาจึงสวนทางกับความเป็นจริง และสวนทางที่ สสรท. และ สรส. เสนอ คือค่าจ้างขั้นต่ำต้องเท่ากันทั้งประเทศ การปรับขึ้นค่าจ้างในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงระบบการปรับค่าจ้างที่เลวร้ายครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อนาคตการปรับค่าจ้างอาจไปถึงเฉพาะตำบล หรือหมู่บ้านก็อาจเป็นได้ หากจุดเริ่มต้นเป็นแบบนี้ แม้คณะกรรมการค่าจ้าง จะทบทวนการปรับราคาค่าจ้างโดยกำหนดสูตรปรับค่าจ้างใหม่ ราคาค่าจ้างเพิ่มขึ้นจริง คือจากวันละ 370 บาท เป็น 400 บาท แต่เป็นการปรับขึ้นที่เลวร้ายอย่างที่กล่าวมาและไม่อาจยอมรับได้

สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) ยืนหยัดในจุดยืนเดิมคือ “ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐบาลหยุดสร้างความเหลื่อมล้ำเรื่องค่าจ้าง ยกเลิกสูตรและแนวทางการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติ โดยขอให้ตระหนักถึงความเดือดร้อนผู้ใช้แรงงานขอให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 492 บาท หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท ตามที่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแถลงก่อนหน้านี้ โดยให้มีค่าจ้างราคาเดียวเท่ากันทั้งประเทศ และเสนอให้ค่าจ้างขั้นต่ำ รวมทั้งคนทำงานภาคบริการเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมควบคู่กับการสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างหลักประกันการทำงาน การจ้างงาน เพื่ออนาคต และสังคมที่ดี และการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้มีราคาแพงเกินเหตุผลความเป็นจริง” เพราะเมื่อประชาชนมีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ ก็จะเกิดการผลิตการจำหน่ายผู้ประกอบการขายสินค้าได้ รัฐก็สามารถเก็บภาษีได้ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจให้มั่นคง ยั่งยืน การปรับขึ้นราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป ป้องกันผูกขาด และปกป้องกิจการของรัฐคือรัฐวิสาหกิจไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนที่จ้องเอาเปรียบประชาชน คนทำงาน สสรท. และ สรส. การสร้างความเป็นธรรมในสังคมจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการ จึงขอให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้งหลายติดตามอย่างจริงจังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐบาลจะมีท่าทีอย่างไร หากไม่เป็นไปตามที่ต้องการจะร่วมกันพิจารณามาตรการในการผลักดันต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net