Skip to main content
sharethis

ประชาไท - เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 49 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2549 หัวข้อ "สู่หนึ่งทศวรรษหลังวิกฤติเศรษฐกิจ:ได้เรียนรู้และปรับปรุงอะไรบ้าง"


 


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านต่างๆ ดีขึ้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งมาก ธปท. คาดเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปว่าจะขยายตัวต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และไม่น่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนปี 2540 อีก แต่ก็ต้องไม่ประมาท เพราะยังมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดความพลิกผันทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง นั่นคือ สถานการณ์ตลาดโลกมีความผันผวนกว่าอดีต ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงราคาน้ำมัน จึงมีโอกาสสร้างความพลิกผันทางเศรษฐกิจได้มาก


 


ดังนั้น จึงควรบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันการบริหารประเทศ ที่สำคัญการบริหารความเสี่ยงต้องมีความยืดหยุ่น ซึ่ง ธปท. มีนโยบายการดูแลความเสี่ยง และอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระยะตามความเหมาะสม แต่ในระยะยาวจะปล่อยไปตามกลไกตลาดโลก ส่วนเงินสำรองถือว่าเหมาะสม และดีพอสมควรแล้ว


 


นอกจากนี้ ธปท. จะเน้นการดูแลธรรมาภิบาลของสถาบันทางการเงิน การทำแผนแม่บทของสถาบันการเงินเพื่อให้มีการเตรียมตัว จากฐานข้อมูลที่ให้ธนาคารพาณิชย์ส่งให้ จึงทำให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า เมื่อถึงจุดเปราะบางของเศรษฐกิจ โดยในอนาคต ธปท. จะติดตามประเมินผล ควบคุมความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด เน้นการป้องกันและแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆ โดยอ้างอิงกลไกลตลาดและเน้นบทบาทของภาคเอกชนเป็นหลัก


 


ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เกิดจากการออมที่ไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดการกู้ยืมจากต่างประเทศ การลงทุนยังเป็นการทำกำไรระยะสั้นและปานกลาง ทำให้หนี้ต่างประเทศสูงมาก เมื่อภาวะหนี้ต่างประทเศสูง ประกอบบวกกับภาวะการเมือง ที่พรรคความหวังใหม่และพรรคชาติพัฒนาแย่งอำนาจกัน จึงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น


 


ภาครัฐจึงควรส่งเสริมการออมที่มากเพียงพอ เพราะถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน ต้องนำไปลงทุนในที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เนื่องจากยังไม่สามารถคาดหวังได้ว่า สถานการณ์จะปลอดภัยจากวิกฤติเศรษฐกิจทางการเมือง นอกจากนี้ ยังเสนอให้เพิ่มการออมในระบบประกันสังคม และสำรองเลี้ยงชีพอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ไม่มีเงินเดือน


 


นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ควรมีธรรมาภิบาลคู่กับนโยบาย โดยการทำนโยบายด้านเศรษฐกิจด้วยรับฟังความเห็นให้รอบด้านจากประชาชนด้วย ขณะเดียวกัน การแก้วิกฤติทางการเมืองต้องทำให้ได้ภายในปี 2550 ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอีกครั้ง และควรลงไปดูแลการบริหารระดับชุมชนด้วย เพราะถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดที่แล้ว


 


ด้านนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการการะทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่าชุมชนท้องถิ่น ได้เรียนรู้จากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่จะต้องทุกข์สุขอย่างเฉียบพลัน การเรียนรู้ที่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันวิกฤติ เรียนรู้ที่จะร่วมสร้างเครือข่ายคุ้มครองทางสังคม เรียนรู้ผลดีผลเสียที่มาจากนโยบายประชานิยม เรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญด้านมนุษยนิยม และที่สำคัญที่สุดคือ เรียนรู้ที่จะจินตนาการอนาคต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net