ประชาไท28 ก.ค. 48 รัฐไม่เคยเอาวิกฤต การณ์มาจับจึงเป็นปัญหา เมื่อใดไม่มีการบริหารการใช้น้ำให้ลดลง มีแต่บริหารการจัดหาอย่างเดียว เพราะถ้าไม่คิดบริหารการใช้น้ำให้ประหยัดและมีประสิทธิภาพแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งต้นเหตุของปัญหาน้ำขาดแคลนจริงๆ ก็อยู่ที่การใช้ ดังนั้นหลักแรกคือรัฐต้องเข้าใจความจริงเสียก่อน" นายปราโมทย์ ไม้กลัด ส.ว.กรุงเทพฯ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา กล่าว |
ทั้งนี้จากการเกิดวิกฤตการน้ำขาดแคลนอย่างหนักใน จ.ระยอง โดยเฉพาะการมีน้ำไม่พอใช้ในนิคมอุตสาห
กรรม ทำให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำโครงการต่างๆ เข้าไปแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ขณะที่ยังมีเสียงคัดค้านในผลกระทบที่กว้างขวาง และการตั้งคำถามจากสังคมและประชาชนในพื้นที่เป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม นายปราโมทย์ มองว่า ปัญหาวิกฤตการณ์น้ำในจ.ระยองเกิดจาก 2 ปัญหาใหญ่ คือการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมและการใช้น้ำที่เติบโตมากผิดปกติ
ส.ว.กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า "การใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันนั้น มีตัวเลขการใช้น้ำต่อปีเติบโตมากสมัยผมเป็นอธิบดีกรมชลประทานในปี 42 ในภาคอุตสาหกรรมใช้น้ำปีละไม่เกิน 100 ล้านลบ.ม.จากหนองปลาไหลและอ่างฯ ดอกกราย พอถึงปี 47 มีสถิติการใช้น้ำสูงถึง 210 ล้าน ลบ.ม. และมาถึงปีนี้มีการใช้น้ำถึง 270 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ผมสงสัยว่า 5 ปีที่ผ่านมา ทำไมปริมาณการใช้จึงเกิดขึ้นมากถึง 3 เท่า ซึ่งเท่ากับว่าได้ใช้จนเต็มศักยภาพของแหล่งน้ำแล้ว"
"ภาคอุตสาหกรรรมฮุบน้ำไปหมดยังไม่พอ ยังทำให้อย่างอื่นพลอยเสียหายไปด้วย 5 ปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายอนุญาตให้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมกับฝ่ายดูแลเรื่องน้ำต่างคนต่างอยู่มากเกินไป" อดีตอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
ขณะที่ทั้งหนองปลาไหลและอ่างฯ ดอกกรายมีน้ำเต็มศักยภาพที่ 250 ล้าน ลบ.ม. ส.ว.ปราโมทย์ตั้งข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และเสนอว่าในการอนุญาตตั้งโรงงานผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่
นายปราโมทย์ กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากปี 47 มีน้ำเป็นต้นทุนเหลือน้อยมาก โดย 1 ม.ค. ปีนี้เหลือน้ำอยู่ในอ่างเก็บน้ำเพียง 140 ล้านลบ.ม. เท่านั้น และหลังจากนั้นก็ใช้มาโดยตลอดจนถึงวันนี้ ซึ่งจะโทษธรรมชาติไม่ได้ เพราะฝนตกปีนี้น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยจึงเพียงพอในเฉพาะการเกษตรเท่านั้น แต่ไม่ไหลไปในอ่างเก็บน้ำ ถ้าทางการจับทางมาตลอดก็ต้องรู้มานานแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ เพราะมีสัญญาณบ่งบอก แต่ผู้ดูแลรับผิดชอบเพิ่งมาเอะอะวิกฤตน้ำเอาเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
"ปีนี้ฝนตกน้อยแทบทุกภาค ซึ่งฝนจะตกมากตามธรรมชาติจนถึงต.ค.ของทุกปี แต่เราจะหวังมากเกินไปได้อย่างไร ตอนนี้เท่ากับเป็นวิกฤตอย่างแท้จริง ซึ่งความจริงเป็นวิกฤตการณ์มาตั้ง 2 เดือนกว่าแล้ว แต่รัฐบาลบอกไม่ต้องเป็นห่วง เท่ากับไม่ยอมรับข้อเท็จจริง" อดีตอธิบดีกรมชลฯ ติงการทำงานของภาครัฐ
อดีตอธิบดีกรมชลฯ ยังบอกว่า ปัญหาเกิดจากผู้รับผิดชอบไม่ยอมรับความจริง ไม่เอาแนวการบริหารวิกฤตมาจับตั้งแต่ 2-3 เดือนที่แล้ว ตอนนี้น้ำไม่มีจะทำอะไรได้ น้ำไม่มีก็ต้องมีหลักบริหารการใช้ ต้องร่วมมือร่วมใจกันทำจริง การที่อุตสาหกรรมซื้อน้ำและทิ้งน้ำที่ใช้แล้วลงทะเลไม่ถูกต้อง เราต้องมีการใช้ซ้ำแบบรีไซเคิลพร้อมกับช่วยกันประหยัดอย่างจริงจัง
"ขณะนี้รัฐใช้แต่หลักบริหารการจัดหาน้ำเสริมด้วยวีธีการต่างๆ ท่าเดียว ทั้งๆ ที่ศักยภาพของน้ำไม่มี น้ำบาดาลใต้ดินรู้ว่ามันมีต่ำเพราะข้างล่างจ.ระยองมีแต่หินแกรนิต รัฐก็บังคับให้หน่วยงานต้องหาน้ำมาให้ได้ 50,000 ลบ.ม.ต่อวัน ถือเป็นการคาดโทษ ผมไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะการทำงานแก้ปัญหาต้องการความจริง
ส.ว.ปราโมทย์ ย้ำว่า การบริหารน้ำระยะยาวต้องทำความเข้าใจกับมวลชนอย่างแท้จริง และถ้าจะแก้ไขให้ได้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน สิ่งที่รัฐบอกได้ตอนนี้เป็นเพียงหลักการ การดำเนินการต่างๆ ยังเร่งรีบไม่ได้ รัฐต้องเอาความจริงเป็นเครื่องมือมาจับในทุกๆ เรื่อง แต่ที่ผ่านมารัฐปิดบังความจริงมาโดยตลอด
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)