ประชาไท-3 ส.ค.48         "ก่อนที่จะออกมานำเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน  ว่าให้คนออกจากป่าต้นน้ำนั้น  ควรจะศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนก่อน  ว่าพื้นที่ไหนที่ทำได้  พื้นที่ไหนทำไม่ได้  มีคนที่อยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำเป็นจำนวนเท่าไร  มีพื้นที่ไหนที่ชาวบ้านสามารถจัดการดูแลกันได้ พื้นที่ชุมชนใดที่ประสบความสำเร็จ  พื้นที่ไหนประสบปัญหาและทำไม่ได้  ไม่ใช่จะออกมาเสนอแบบเหมารวมกันเช่นนี้" นายปิติพงศ์  คิดการเหมาะ  ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าต้นน้ำคลองคราม จ.สุราษฎร์ธานี 

นายปิติพงศ์  คิดการเหมาะ  ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าต้นน้ำคลองคราม จ.สุราษฎร์ธานี  กล่าวว่า  ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก 

สำหรับภาคใต้  หากจะให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ป่าต้นน้ำ  โดยเฉพาะในพื้นที่ของ จ.สุราษฎร์ธานี  มีชาวบ้านอาศัยอยู่กันเกือบทุกพื้นที่ป่าต้นน้ำ  ซึ่งชาวบ้านได้ร่วมกันจัดการป่าชุมชนกันมานานแล้ว  และสามารถจัดการดูแลจนประสบผลสำเร็จ  ได้รับรางวัล  รวมทั้งมีหลายประเทศได้เข้ามาศึกษาดูงานในพื้นที่

"ดังนั้น  ก่อนที่นายยงยุทธจะออกมานำเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน  ว่าให้คนออกจากป่าต้นน้ำนั้น  ควรจะศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนก่อน  ว่าพื้นที่ไหนที่ทำได้  พื้นที่ไหนทำไม่ได้  มีคนที่อยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำเป็นจำนวนเท่าไร  มีพื้นที่ไหนที่ชาวบ้านสามารถจัดการดูแลกันได้ พื้นที่ชุมชนใดที่ประสบความสำเร็จ  พื้นที่ไหนประสบปัญหาและทำไม่ได้  ไม่ใช่จะออกมาเสนอแบบเหมารวมกันเช่นนี้"

ด้าน นายอัมพร  แพทย์ศาสตร์  ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จ.ตราด  และกรรมการเครือข่ายป่าชุมชนภาคตะวันออก 4  จังหวัด คือ ชลบุรี  ตราด  จันทบุรี และตราด  กล่าวว่า  ในส่วนของพื้นที่ทางภาคตะวันออก  คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก  เพราะมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเหลืออยู่น้อย แต่คงกระทบในพื้นที่ภาคอื่น  โดยเฉพาะภาคเหนือ

"แต่อย่างไรขอยืนยันให้มี พ.ร.บ.ป่าชุมชน   เพราะว่าที่ผ่านมา  ชีวิตของชาวบ้านยังต้องพึ่งพาป่ากันอยู่      ซึ่งชาวบ้านได้มีการรวมตัวกันตั้งกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูฯ  กันมานานแล้ว  ไม่ว่าในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม  ก็ร่วมกันเข้าไปจัดการฟื้นฟูสภาพป่า  โดยมีการออกกฎระเบียบชุมชนกันขึ้นมา นอกจากนั้น  ในพื้นที่ป่าชายเลน  ชาวบ้านก็จะเข้าใจว่าพื้นที่ตรงไหนควรมีการอนุรักษ์และฟื้นฟู  เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พืช สัตว์น้ำที่สำคัญ  จะเห็นได้ว่าชาวบ้านสามารถจัดการกันได้" นายอัมพร  กล่าว