แนะตั้งกองทุนนอกตลาดช่วย อัดรัฐบาลขจัดคนคิดตรงข้าม ทำภาพลักษณ์ไทยแย่กว่าพม่า
โดย หนังสือพิมพ์มติชน 19 กันยายน 2548
พรรคฝ่ายค้านร่วมหาช่องป้องกันกลุ่มทุนครอบงำกิจการสื่อ "อภิสิทธิ์"นำทีม ส.ส.ปชป.ถกทางแก้ไข เตรียมแก้กฎหมาย จี้รัฐบาลผลักดัน พ.ร.บ.สกัดการผูกขาดในตลาดมาใช้อย่างจริงจัง นักวิชาการ-เอ็นจีโอ เดินหน้าสกัดฮุบสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์ระดม บก.หารือ
พรรคฝ่ายค้านหยิบยกกรณีบริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด(มหาชน) พยายามเข้าครอบงำกิจการบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน) และบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) ด้วยการซื้อหุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นมาเป็นประเด็นในการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางแก้ไขป้องกันนายทุนเข้าครอบงำหรือซื้อสื่อ รวมทั้งหามาตรการแก้ไขกฎหมายบางฉบับหรือออกกฎหมายใหม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 กันยายน พรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงให้รัฐบาลนำ พ.ร.บ.ป้องกันการผูกขาดในตลาดมาบังคับใช้อย่างจริงจัง เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยออกกฎกระทรวงหรือออกระเบียบใดๆ ให้กฎหมายบังคับใช้ได้ ยังปล่อยให้มีการผูกขาดในตลาดในหลายๆ ธุรกิจ
ส่วนพรรคชาติไทยนั้นประกาศจะร่วมกับภาคประชาสังคม และผู้ประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชน เพื่อร่วมกันยกร่างกติกา หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในคุ้มครองสิทธิเสรีภาพด้านการรับรู้ข่าวสาร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนไม่ถูกละเมิด
ขณะที่องค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการ ยังแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องโดยจะมีการจัดสัมมนาเรื่องของการป้องกันการครอบงำสื่อและการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อ ส่วนสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะระดมบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เพื่อหารือในเรื่องนี้เช่นกัน
**"อภิสิทธิ์"ลุ้นหาช่องป้อง"ฮุบ"สื่อ
นาย
**ชี้เป้าครอบสื่อหวังปิดกั้นสอบโกง
"พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาเป็นความพยายามของกลุ่มบุคคลที่มีผลประโยชน์ร่วมกันทางธุรกิจและการเมืองที่ต้องการเข้าไปครอบงำเพื่อจะได้มีอิทธิพลเหนือการทำงานสื่อสารมวลชน และใช้อำนาจให้สื่อทำงานตอบสนองความต้องการของตนเอง โดยเป้าหมายต้องการทำให้การตรวจสอบการทุจริตเป็นหมันทำให้การตรวจสอบทุจริตเป็นไปอย่างลำบากมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาสื่อทำหน้าที่เข้มแข็งในการตรวจสอบทุจริตของรัฐบาลชุดนี้" นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรนำ พ.ร.บ.ป้องกันการผูกขาดในตลาดมาบังคับใช้อย่างจริงจัง เพราะตั้งแต่มี พ.ร.บ.นี้ รัฐบาลกลับไม่เคยออกกฎกระทรวง หรือออกระเบียบใดๆ ให้กฎหมายบังคับใช้ได้ ยังปล่อยให้มีการผูกขาดในตลาดในหลายๆ ธุรกิจ
**ระบุรูปแบบน่ากลัวขั้นทำลายล้าง
นาย
นายอภิชาตกล่าวว่า การควบคุมสื่อมวลชนในวันนี้ได้พัฒนามาถึงรูปแบบที่น่ากลัวคือถึงขั้นของการทำลายล้างแล้ว ทั้งนี้ การควบคุมสื่อในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับเริ่มจากการเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ ผ่านทางผู้บริหารกองบรรณาธิการหรือใช้สถานะความเป็นเจ้าของสื่อกำหนดบทบาทและทิศทางในการเสนอเนื้อหาที่ไม่กระทบกับอำนาจรัฐ เมื่อยังควบคุมไม่ได้ก็ยกระดับสู่ขั้นที่สอง คือการครอบงำ โดยผ่านทางการกล่อมเกลาความคิดให้ยอมรับว่าอำนาจรัฐทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง รวมถึงใช้วิธีเสนอผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อดึงคนในวงการสื่อบางคน บางประเภทเข้ามาเป็นพวก
ส่วนขั้นที่สาม คือการกดดัน ด้วยการใช้เงื่อนไขทางกฎหมาย เช่น กรณี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่พร้อมจะหยิบมาใช้กับสื่อมวลชนเมื่อใดก็ได้ การใช้วิธีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายด้วยเงินจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีการต่อรองด้วยเรื่องงบฯโฆษณาทั้งจากโฆษณาหน่วยงานของรัฐ หรือโฆษณาจากบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการเสนอหรือไม่เสนอข่าวบางข่าว
**เตือนสื่อแนวกีฬาระวังเช็คบิล
นายอภิชาตกล่าวว่า เมื่อใช้ความพยายามทั้งสามระดับแล้วยังไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในกรอบที่ต้องการได้ วันนี้จึงได้เห็นวิธีการที่แยบยล และสลับซับซ้อนมากขึ้น อย่างเช่น การเข้ามายึดครองด้วยอำนาจทุนผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ การใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าไปคุกคามตรวจสอบทรัพย์สิน การบีบบังคับให้กลุ่มทุนยุติการให้เงินสนับสนุนในการทำธุรกิจ เพื่อหวังให้สื่อมวลชนต้องยุติบทบาทที่เคยดำเนินมา หรือเลิกทำงานสื่อสารมวลชนไปเลย ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาตลอด
"น่าเป็นห่วงว่าในอนาคตเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเขม็งเกลียวมากขึ้น ระดับของการทำลายล้างสื่อ จะรุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตกันหรือไม่" นายอภิชาตกล่าว และว่า ทุกค่ายหนังสือพิมพ์วันนี้ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการถูกรุกคืบทำลายล้างทุกรูปแบบ ไม่เฉพาะแต่หนังสือพิมพ์แนวเศรษฐกิจ การเมืองเท่านั้น แม้แต่แนวกีฬา มีข่าวทางลึกว่ากำลังจะถูกเช็คบิลเช่นกัน
**"มาร์ค"ชี้ถอดรายการ"สนธิ"ขัดรธน.
นาย
**สงสัย"อสมท"ปล่อย"สมัคร"จ้อ
ด้านนาย
**ฉะอำนาจรัฐขจัดคนคิดตรงข้าม
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนและประชาชนจับตามองทิศทางของรัฐบาลชุดนี้ในอนาคต เพราะจะมีการใช้อำนาจแฝงเช่นนี้เรื่อยๆ ทั้งในองค์กรต่างๆ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมหาชนที่รัฐบาลมีหุ้น ซึ่งวิธีการคือตั้งคนตัวเองเข้าไปให้มีอำนาจตัดสินใจ และบอกประชาชนว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่เป็นเรื่องขององค์กรนั้นๆ เหมือนกรณีซื้อหุ้นของมติชน เชื่อว่าต่อไปการใช้อำนาจเช่นนี้จะมีมากขึ้นเพื่อขจัดคนที่คิดตรงข้ามกับรัฐบาลและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นอกจากนี้รัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตนเอง โดยการตั้งคนของตัวเองเข้าไปรับเงินเดือนสูงมากในองค์กรที่รัฐบาลมีอำนาจ เช่น รัฐบาลตั้งคนเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูบริษัททีพีไอ โดยตั้งเงินเดือนสูงถึง 2 ล้านบาท แต่การดำเนินการใดๆ ในองค์กรนั้นๆ เน้นหนักการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตัวเอง
**ชท.ร่วมจี้"รบ."คุ้มครองสื่อ
ที่พรรคชาติไทย นาย
**จับมือองค์กรสื่อออกกฎกติกา
นายวีระศักดิ์กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 41, 50 และ 87 ระบุชัดเจนว่า กิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ มีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวและการแสดงความคิดเห็นภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเจ้าของกิจการและข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ลูกจ้างย่อมได้รับความคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพ รวมทั้งบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการและอาชีพ และแข่งขันโดยเสรีภาพและเป็นธรรม อีกทั้งรัฐต้องสนับสนุนในระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ต้องดูแลให้แข่งขันอย่างเป็นธรรม รวมถึงป้องกันการผูกขาดและการตัดตอนทั้งทางตรงและทางอ้อม และเข้าไปยกเลิกธุรกิจที่ไม่สอดคล้องและไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม
"สำหรับเรื่องนี้รัฐต้องแสดงความชัดเจน ไม่ใช่ออกมาระบุเพียงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ พรรคชาติไทยจะร่วมกับภาคประชาสังคม และผู้ประกอบกิจการด้านสื่อสารมวลชน เพื่อร่วมกันยกร่างกติกา หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมในคุ้มครองสิทธิเสรีภาพด้านการรับรู้ข่าวสาร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า สิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนถูกละเมิด" นายวีระศักดิ์กล่าว
**ภาพลักษณ์ไทยเลวร้ายกว่าพม่า
นาย
นายไพศาลกล่าววว่า ภาพลักษณ์ของประเทศเวลานี้ในสายตาชาวโลก ไม่ว่าจะเรื่องการแทรกแซงสื่อ ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ท่าทีแข็งกร้าวกับสหประชาชาติและกรณีล่าสุดที่คณะกรรมการบริหาร อสมท สั่งถอนผังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของนาย
**รุกสอบ"ไทยพาณิชย์"ปล่อยกู้
นาย
นายสมเกียรติกล่าวว่า วงการของวุฒิสภาและภาคประชาชนให้ความสงสัยธนาคารไทยพาณิชย์มาก ว่า ทำไมถึงปล่อยกู้ไปโดยง่ายดายถึง 2,200 ล้านบาท ทั้งๆ ที่บทเรียนของธนาคารกรุงไทยที่เคยปล่อยเงินกู้ให้แก่นายทุนประมาณ 10 กลุ่ม ทำให้เกิดหนี้เน่าประมาณ 4 หมื่นกว่าล้าน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้ามาตรวจสอบ ปรากฏการณ์ในกรุงเทพฯและหัวเมืองโดยเฉพาะสภาเครือข่ายองค์กรประชาชนแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบความเหมาะสม หรือความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารพาณิชย์แห่งนี้ให้เงินกู้แก่บริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดียไปทั้งหมด 2,200 ล้านบาท
**เรียกร้องแจงเหตุผลต่อสาธารณะ
"มีข้อเรียกร้องให้ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผยโครงการการขอเงินกู้และหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันว่า ธนาคารใช้เหตุผลอะไร เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากธนาคารเป็นบริษัทมหาชน ประชาชนผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะใช้ระบบธรรมาภิบาล เพื่อไม่ให้เกิดบทเรียนซ้ำอีก โดยเฉพาะการล้มของธนาคารและสถาบันการเงินเมื่อปี 2540 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นเงินมหาศาลถึง 14 แสนล้านบาท" นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติกล่าวว่า อยากขอร้องนายทุนกลุ่มนี้ว่า ขอเหลืออำนาจให้กับประชาชนไว้สักเรื่อง คือ อำนาจของสื่อมวลชนของประชาชนที่จะคอยเป็นปากเสียงและคอยตรวจสอบรัฐบาล ถ้าไม่มีเครื่องมือนี้ประชาชนจะอ่อนเปลี้ย ระบบการเมืองจะนำไปสู่วงจรอุบาทว์ อาจจะก่อให้เกิดการรวมกลุ่มใช้พลังอำนาจพิเศษขับไล่รัฐบาลออกไปได้เช่นเดียวกับเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯและพฤษภาทมิฬ
**"ทรท."ซัด"ปชป."คุกคามสื่อ
ที่พรรคไทยรักไทย อาคารไอเอฟซีที นาย
**ครป.ห่วงอำนาจครอบสื่อ
นาย
"ที่ประชุมสมัชชา ครป.วิตกกังวลและมีข้อห่วงใยต่อสถานการณ์สังคมการเมืองที่มีลักษณะย้อนกลับและถดถอยแทนที่จะพัฒนาก้าวไป" นายพิทยากล่าว
**ไม่เชื่อ"แกรมมี่"ยุติบทบาท
นาย
"ผมไม่เชื่อว่าแกรมมี่จะยุติบทบาทกับการเจรจาขายหุ้นคือเพียงเท่านี้ แต่เชื่อว่าจะมีการใช้กลุ่มทุนพันธมิตรเข้าไปซื้อหุ้นแทน เหมือนกรณีเนชั่น และในที่สุดจะส่งคนเข้ามาแทรกแซงในกองบรรณาธิการจึงไม่ต้องการให้มองว่านี่เป็นชัยชนะของใคร เพราะเชื่อว่านี่เป็นเพียงการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น และอีกไม่นานกลุ่มทุนนี้จะกลับมาใหม่ซึ่งเราก็ไม่ควรลืม" นายสุริยะใสกล่าว และว่า ครป.ขอประณามการดำเนินการที่ปิดกั้นการรับรู้ของประชาชนโดยผู้มีอำนาจ ถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
**สภา"น.ส.พ."เชิญบก.หารือสกัดฮุบ
นาย
ทางด้านคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) จัดเสวนาในหัวข้อ "ผ่าทางตันธุรกิจการเมือง บ่อนทำลายเสรีภาพประชาชน" ณ คณะวารสารฯ มธ. ท่าพระจันทร์ ในวันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2548 เวลา 13.30-16.00 น. ณ ห้อง วส.101
ผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วย นาย
**จุฬาฯจัดเวทีสัมมนาเสรีสื่อ
ขณะที่ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะจัดสัมมนาเรื่อง "เสรีสื่อ : เสรีประชาชน" ในวันอังคารที่ 20 กันยายน 2548 ณ ห้องประชุมจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลา 13.00-17.00 น. ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ดร.
ดร.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)