ศราวุฒิ ประทุมราช : รายงานจากอินโดนีเซีย 21 มกราคม 2549
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2548 ศาลอาญาจาการ์ต้า เขตตะวันตก ประเทศอินโดนีเซียได้อ่านคำพิพากษา คดีที่อัยการของรัฐเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนาย โพลีคาปุส บูดิฮาริ ปริยันโต นักบินสายการบินการูด้า ในความผิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการฆาตกรรม มูนีล บิน ซาอิด นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนผู้มีชื่อเสียงของอินโดนีเซีย ด้วยการสั่งลงโทษจำคุกนายโพลีคาปุส 14 ปี
และในวันที่ 12 มกราคม 2549 ศาลอาญาของไทยได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก พ.ต.ท.
ทั้งสองกรณีมีความคล้ายคลึงกันของเหตุการณ์และการดำเนินคดี แม้จะเกิดเหตุต่างกรรม ต่างวาระ และ สถานที่เกิดเหตุก็เป็นคนละประเทศ แต่ด้วยเหตุที่ทั้งนายสมชายและมูนีล ต่างก็เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน จึงขอตั้งข้อสังเกตเป็นบันทึกความคล้ายคลึงกันของเหตุการณ์และบุคคลทั้งสอง ไว้ ในประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. เป็นทนายความ ที่มุ่งมั่นและยึดถือคำสอนในศาสนาอิสลาม และนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เหมือนกัน
คุณสมชาย นีละไพจิตรเกิดเมื่อปี พ.ศ.2494 ในครอบครัวชนชั้นกลางชาวมุสลิม ที่เขตหนองจอก กรุงเทพฯ มีชื่อมุสลิมว่า อบูบักร ได้เข้าเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงรุ่นแรก เมื่อจบการศึกษาได้เริ่มประกอบวิชาชีพทนายความ และได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ต้องหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะผู้เป็นมุสลิมมาโดยตลอด เช่นในปี 2525 ได้เป็นทนายความให้แก่กลุ่มนักศึกษามุสลิม จากรามคำแหงที่ถูกฟ้องข้อหาวางระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ในคราวฉลองครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น
เป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือในคดีที่ชาวมุสลิมตกเป็นผู้ต้องหา เข้าร่วมเป็นกรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2538 และเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งในบทบาททนายความได้เป็นทนายความในคดีสำคัญๆ มากมาย
ในฐานะชาวมุสลิมที่เคร่งครัด คุณสมชายได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของอิสลาม และปวารณาตัวเองที่จะเดินในแนวทางของพระอัลเลาะห์ที่ตนนับถือ
"มูนีลเกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2508 ในครอบครัวของนักการศาสนาอิสลามที่เคร่งครัด มีชื่อเต็มว่า มูนีล บิน ซาอิด อ.เกษียร เตชะพีระ ได้เคยบันทึกเรื่องราวของมูนีล ไว้ในบทความ "แด่ มูนีร์ (เป็นคำสะกดของเกษียร - กองบรรณาธิการ) : สมชาย นีละไพจิตรแห่งอินโดนีเซีย" ว่า "เขาเริ่มเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยบราวิจายา หลังเรียนจบ เขาเข้าร่วมงานมูลนิธิให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายของอินโดนีเซีย (YLBHI) ในปี ค.ศ.1989 โดยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายแก่เหยื่อความรุนแรงและกดขี่ของรัฐในเมืองสุราบายา ทางตะวันออกของเกาะชวา
"มูนีร์ขยับขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายประจำเมืองเซามารัง ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าปฏิบัติการภาคสนามของมูลนิธิที่จาการ์ตา นับแต่ปี ค.ศ.1996 เรื่อยมา
"มูนีร์เริ่มโดดเด่นเป็นที่รู้จักของสาธารณชนอินโดนีเซียช่วงปลายสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โตในฐานะแกนนำรณรงค์ประท้วงกรณีนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยร่วม 20 กว่าคน ถูกลักพาตัวหายสาบสูญไปอย่างน่าสงสัยตอนปลายปี ค.ศ.1997 ต่อต้นปี ค.ศ.1998 "
ในด้านศาสนาเนื่องจากมูนีลเกิดในครอบครัวของนักการศาสนาที่เคร่งครัด จึงมีวัตรปฏิบัติตามพิธีกรรมของศาสนามิได้ขาด เขาละหมาดวันละ 5 เวลาตามหลักอิสลาม ไม่เคยข้องแวะเกี่ยวกับอบายมุข เครื่องดองของเมา และไม่สูบบุหรี่
2. ตายและ หายสาบสูญ ในปีเดียวกัน
มูนีล ถูกวางยาพิษ (สารหนู) ในอาหารขณะเดินทางโดยเครื่องบิน จากอินโดนีเซียไปเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 ส่วนคุณ
3. สาเหตุการตาย เป็นประเด็นทางการเมืองเหมือนกัน
มูนีล มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยฝ่ายทหาร มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ซูฮาร์โตเรืองอำนาจ และเมื่อซูฮาร์โตสิ้นอำนาจลงในปี 1998 เขาก็ยิ่งทำการขุดคุ้ยประเด็นการฆ่าหมู่ประชาชนในอีสติมอร์ ก่อนที่จะแยกเป็นประเทศตีมอร์ เลสเต และทำการตรวจสอบการใช้อำนาจโดยมิชอบทางทหาร ที่เป็นการละเมิดสิทธิในการปกครองตนเองของปาปัวและอาเจะห์ อันมีผลทำให้นายทหารระดับสูง เช่น พลเอกวิรันโต ถูกสอบสวนและถูกฟ้องว่าเป็นผู้สั่งการให้มีการสังหารหมู่ หรือนายทหาร
คุณ
4. เจ้าหน้าที่รัฐ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายเหมือนกัน
การเสียชีวิต ด้วยการถูกผสมสารหนูในอาหารของมูนีล คณะค้นหาข้อเท็จจริงที่แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และอัยการ ต่างมุ่งประเด็นไปที่หน่วยสืบราชการลับแห่งชาติอินโดนีเซีย ว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนสังหารมูนีล แม้จะไม่สามารถสืบค้นไปยังความสัมพันธ์ระหว่างนาย
ผู้สื่อข่าวหลายสำนักต่างจำนายโพลีคาปุสได้ และยืนยันข้อมูลนี้ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่านายโพลีคาปุส ไปอยู่ที่อีสติมอร์ด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นสายของทางราชการแล้ว นักบินธรรมดาจะไปปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งได้อย่างไร อีกประเด็นก็คือ ในระหว่างการตรวจสอบของคณะค้นหาข้อเท็จจริง ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยสืบราชการลับแห่งชาติ ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเลย ไม่ยอมให้คณะฯ เข้าพบ แต่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า มูนีลไม่ใช่เป้าหมายทางการเมืองที่ต้องถูกกำจัด
ประเด็นสำคัญอีกประเด็นก็คือ เมื่อซูฮาร์โต หมดอำนาจ มีการจัดตั้งคณะกรรมการยกร่างเพื่อแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหน่วยสืบราชการลับแห่งชาติ มูนีล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการด้วย และเขาได้เสนอให้มีการลดอำนาจและตัดงบประมาณของหน่วยงานนี้
ในกรณีคุณสมชายนั้น นอกจากมีการฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายในข้อหาปล้นทรัพย์และข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดแล้ว ต่อมาเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาในวันที่ 12 มกราคม 2549 นายกรัฐมนตรีได้ออกมายืนยันว่า นายสมชายได้เสียชีวิตแล้วจาการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และได้เร่งรัดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษติดตามหาผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าคุณสมชายโดยเร็ว
5. รัฐบาลตั้งคณะทำงานขึ้นมาหาข้อเท็จจริง เหมือนกัน
กรณีมูนีล ประธานาธิบดี ซูซิโล บัมบัง ยุทโธโยโน ได้ตั้งคณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงกรณีมูนีล (Fact Finding Team for the Case of Munir) ขึ้นมาหลังจากมูนีลเสียชีวิตประมาณ 3 เดือน ตามคำสั่งประธานาธิบดีที่ 111/2004(President Decree No.111/2004) เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2547 คณะทำงานมีจำนวน 14 คน โดยมีนายพลตำรวจจากสำนักการบริหารและการวางแผนเป็นประธาน นักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นรองประธาน และคณะทำงานอีก 12 คน จากบุคคลหลายสาขาอาชีพทั้งองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรด้านผู้ใช้แรงงาน นักวิชาการ สื่อมวลชน คณะทำงานได้เริ่มทำงานครั้งแรก 13 มกราคม 2548 และสรุปผลการค้นหาข้อเท็จจริง รายงานส่งประธานาธิบดีเมื่อ 23 มิถุนายน 2548
เมื่อคุณสมชายหายตัวไปได้ไม่นานนัก คือเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2547 พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งที่ 61/ 2547 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการหายตัวไปของ นาย
1) คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐาน โดยมี นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อธิบดีอัยการสำนักคดีพิเศษเป็นประธาน
2) คณะอนุกรรมการติดตามการหายตัวไปของนาย
3) คณะอนุกรรมการตรวจพิสูจน์ร่องรอยวัตถุพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยมี พ.ญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์เป็นประธาน
และต่อมาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2548 นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาสอบสวน อีกหน่วยงานหนึ่ง
6 .ข้อมูลการบันทึกการใช้โทรศัพท์ ถูกนำมาเป็นหลักฐานในการสืบสวนสอบสวนทางคดี เหมือนกัน
ข้อมูลการบันทึกการใช้โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบที่ถูกฟ้องในกรณีคุณสมชาย ถูกนำมาใช้ในการสืบสวน สอบสวน นำไปสู่การจับกุมและใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลเพื่อพิสูจน์ว่า จำเลยทั้ง 5 มีส่วนร่วมในการปล้นทรัพย์และขืนใจทนายความสมชายในคืนวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 12 มีนาคม 2547 เวลาประมาณ 20.30 น. ทั้งที่ไม่มีหลักฐานการค้นพบโทรศัพท์มือถือ เงินสด และนาฬิกาของนายสมชายตามคำฟ้องในการครอบครองของจำเลยทั้ง 5 แต่อย่างใด และหลักฐานที่ได้ก็ไม่เพียงพอที่จะฟ้องร้องในข้อหาที่หนักกว่าเช่นการลักพาตัว ซ่อนศพ หรือการฆ่าได้
หลักฐานทางโทรศัพท์จำนวนกว่า 75 ครั้งในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2547 ผูกมัดว่าจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 2, จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ได้ติดตามทนายสมชายมาตลอดวันตั้งแต่เวลา 9.00 - 20.35 น. ซึ่งถือได้ว่าเป็นคดีแรกๆ ในประเทศไทยที่มีการนำหลักฐานการใช้โทรศัพท์มาเป็นพยานแวดล้อมอ้างอิงเพื่อการดำเนินคดีอาญา (แม้ศาลอาญา จะระบุในคำพิพากษา เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ว่าหลักฐานบันทึกการติดต่อทางโทรศัพท์ของจำเลยไม่ใช่ต้นฉบับที่น่าเชื่อถือ จึงไม่สามารถรับฟังเป็นหลักฐานเพื่อลงโทษจำเลยได้ก็ตาม)
กรณีมูนีล การค้นหาข้อเท็จจริงโดยคณะค้นหาข้อเท็จจริงตามคำสั่งประธานาธิบดีที่ 111/2004 ได้พุ่งเป้าไปที่การใช้โทรศัพท์ของนาย โพลีคาปุส นักบินร่วม คนหนึ่งของสายการบินการูด้า ที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักบิน ในขณะเกิดเหตุ คณะค้นหาข้อเท็จจริงได้ตรวจสอบพบว่า นายโพลีคาปุส ได้ใช้โทรศัพท์ทั้งมือถือ และที่สำนักงานประมาณ 35 ครั้งติดต่อกับอดีตนายทหารนอกราชการผู้หนึ่งชื่อ มุกดี้ (Muchdi) ที่เป็นที่รู้จักกันดีในอินโดนีเซียว่า เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับแห่งชาติ (Badan Inteligen Negara - BIN) ซึ่งเคยรับผิดชอบกองกำลังเฉพาะกิจ ในปี 1998 กองทหารหน่วยนี้ได้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าได้ทำการ อุ้ม ฆ่า นักสิทธิมนุษยชนและนักประชาธิปไตย ในช่วงดังกล่าว และมูนีล ในนามของ คอนทราส (KontraS) องค์กรที่เขาตั้งขึ้น ได้ทำการตรวจสอบและนำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ จนทำให้ นายมุกดี้ ต้องถูกออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้มีการตั้งข้อสงสัยว่า นายโพลีคาปุสไม่ได้คุ้นเคยกับมูนีล แต่ได้ติดต่อหามูนีลทางโทรศัพท์มือถือ เมื่อวันที่ 2 กันยายน โดยนางสุจีวาตี ภรรยาของมูนีลเป็นผู้รับโทรศัพท์ นางสุจีวาตี ได้ให้การต่อศาลว่า "นายโพลีคาปุส ได้แนะนำตัวว่าเป็นพนักงานของสายการบินการูด้า สอบถามว่ามูนีลจะออกเดินทางไปเนเธอร์แลนด์เมื่อไร นางได้ตอบไปว่าจะเดินทางในวันที่ 6 กันยายน นายโพลีคาปุส ได้บอกว่าเขาก็จะเดินทางไปในเที่ยวบินเดียวกับมูนีล" (จาการ์ต้า โพสต์ 6 กันยายน 2548) ซึ่งในขณะนั้นสายการบิน ยังไม่ได้ยืนยัน เวลา และเที่ยวบิน ของมูนีล
ซึ่งหลักฐานบันทึกการใช้โทรศัพท์ของจำเลยนำไปสู่การสอบสวน จนกระทั่งมีการจับกุมและใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในศาลด้วยเช่นกัน
7. จำเลยถูกฟ้องว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัว หรือฆาตกรรม แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมาฟ้องว่าเป็นผู้ลงมือ"ฆ่า" ได้
กรณีมูนีล นายโพลีคาปุส ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ข้อหาเตรียมการฆาตกรรม และข้อหาทำเอกสารให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนเป็น "เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยบนเครื่องบิน" เพื่อสามารถขึ้นเครื่องบินเป็นพิเศษได้ในเที่ยวบินเดียวกับมูนีล และพยายามชักชวนให้มูนีล ย้ายที่นั่งจากชั้นประหยัดไปยังชั้นธุรกิจ ไม่มีหลักฐานชิ้นใดหรือประจักษ์พยานระบุว่า นายโพลีคาปุสเป็นผู้กระทำการฆาตกรรม ด้วยการใส่สารหนูในอาหารให้มูนีล นอกจากเอกสารแวดล้อม ที่น่าสงสัยว่า จำเลยมีหน้าที่อะไรบนเครื่องบินที่มูนีลเดินทาง และทำไมนายโพลีคาปุส จึงเข้ามาพูดคุยขอให้มูนีลย้ายที่นั่งมาอยู่ในชั้นธุรกิจ แทนที่นั่งของมูนีลในชั้นประหยัด (รายงานของ human rights first น.3-5)
กรณีคุณสมชาย ในวันที่ 16 มิถุนายน 2547 พนักงาน อัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1952/2547 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงาน อัยการพิเศษคดีอาญา 6 สำนักงาน คดีอาญา) โจทก์ พ.ต.ต.
8. ครอบครัวถูกข่มขู่ คล้ายกัน
นับแต่มูนีลถูกฆาตกรรม และ ภรรยาได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ครอบครัวของมูนีลก็ได้รับการข่มขู่ทั้งทางโทรศัพท์ และจดหมาย เช่น ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2547 บุรุษไปรษณีย์ได้นำพัสดุเป็นกล่องโฟม 1 กล่อง มาส่งที่บ้านของมูนีล ในเบกาซี เมื่อภรรยาของมูนีลเปิดออก ภายในกล่องพบหัวไก่ ขาไก่ 2 ขาและเนื้อไก่ หั่นเป็นชิ้นๆ ซึ่งเนื้อเน่าแล้ว พร้อมกับข้อความพิมพ์ อ่านได้ความว่า "จงหยุดติดตามเรื่องการตายของมูนีล ถ้าไม่อยากจบชีวิตลงอย่างนี้"
นางสุจีวาตีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในอินโดนีเซียว่า นับแต่มูนีลมีบทบาทในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการกระทำของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ ในปลายทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมาครอบครัวของเธอและมูนีล ถูกข่มขู่ คุกคาม ถึง 7 ครั้ง ด้วยการส่งระเบิดปลอมบ้าง โทรศัพท์บ้าง แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่คดีเหล่านี้ได้ถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รักษากฎหมายหรือไม่เคยมีการนำคดีขึ้นสู่ศาล
คุณสุจีวาตี ภรรยาของมูนีล ต้องรับภาระในการเลี้ยงดูลูกน้อย 2 คน ชาย 1 หญิง 1 อายุ 5 ขวบและ 3 ขวบตามลำดับ
คุณ
9. รัฐบาล ถูกตั้งคำถามในเวทีโลก ถึงความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน
ทั้งกรณีคุณ
ในระหว่างการพิจารณาคดีทั้งสองคดี มีผู้แทนขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เข้าร่วมสังเกตการณ์ในศาล และจัดทำรายงานการเสียชีวิต การสอบสวน และการดำเนินคดีในศาลโดยตลอด พร้อมกับมีการตั้งคำถามถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศว่า การที่นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนถูกลอบสังหารและหายสาบสูญนี้ รัฐบาลได้ให้ความมั่นใจอย่างไรต่อการอำนวยความยุติธรรมว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมจะได้รับการติดตาม นำตัวมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศ ซึ่งหากรัฐบาลทั้งสองประเทศไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษได้ แสดงว่า รัฐบาลตกอยู่ภายใต้อิทธิพล อำนาจเถื่อน และมีความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)