ประชาไท - 17 ก.พ. 49 กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับพิจารณาความผิดการขายหุ้นของนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 209 ด้วยคะแนน 8 ต่อ 6 เสียงไม่รับวินิจฉัยคำร้องของ 28 ส.ว.โดยอ้างว่าไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจน ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการทำหน้าที่ของตุลาการ ตลอดจนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากคำตัดสิน
นักวิชาการ อดีตตุลาการ หวั่นคำตัดสินศาล รธน. ปลุกการเคลื่อนไหวนอกระบบ
นาย
"การชี้แจงในศาลมันก็ดี ดีในแง่ที่ว่าประชาชนจะได้ฟังว่าอะไรกันแน่ แต่เมื่อมันไม่มีโอกาสอย่างนี้แล้วนี่ ก็ยังค้างคาใจ ประชาชนก็ยังค้างคาใจอยู่ว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วก็ฝ่ายที่เชื่อว่าไม่มีอะไร ตรงไปตรงมาก็จะมีอิทธิพลมากขึ้น สามารถขยายฐานได้มากขึ้น คนก็เชื่อมากขึ้นว่ามันคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล" นายสุจิต กล่าว
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวต่อไปว่า การรับพิจารณาคำร้องหรือไม่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาจากมาตรฐานเดียวกัน คือ เจตนารมณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อการตรวจสอบกรณีนี้ไม่สามารถใช้กระบวนการทางศาลได้ จึงเห็นด้วยกับแนวทางที่จะให้ส.ส.พรรครัฐบาล ร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความชัดเจนในหลายข้อสงสัยให้กับสังคม
ด้าน นาย
อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า "เรื่องดังกล่าวในทางกฎหมายอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้โดยไม่ต้องกังขาใดๆทั้งสิ้น เรื่องดังกล่าวไม่ใช่คำร้องตามปรกติแต่เป็นคำร้องที่องค์กรตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ คือสมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ได้เข้าชื่อกันอย่างถูกต้อง ผ่านการตรวจสอบโดยวุฒิสภาแล้ว เมื่อดูเนื้อหาคำร้องไม่ปรากกฎว่ามีข้อสงสัยใดๆที่จะไม่เข้าใจว่าผู้ร้องว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ ทั้งคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว"
"ผมรู้สึกผิดหวังมากที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับแม้เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งที่เห็นได้ว่าความรุนแรงของการวินิจฉัยว่าไม่รับเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างไร ความขัดแย้งที่มีอยู่จะสูงมากขึ้น ผมคิดว่าฝ่ายที่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องจะผลักดันให้เกิดการเผชิญหน้าต่อไป ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกเป็นคำวินิจฉัยที่น่าเสียในเป็นอย่างยิ่งผมคิดว่ามีเหตุที่ยืนยันในทางกฎหมายว่าคำวินิจฉัยไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาเป็นคำวินิจฉัยที่น่าจะไม่ชอบด้วยเหตุผลและตรรกะทางกฎหมายหลายประการ"
ส่วนเรื่องทางออกในกรณีดังกล่าวนั้น นายสุรพล กล่าวว่า ทางออกในเรื่องดังกล่าวดูเหมือนจะมีอยู่น้อยมาก การเข้าชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีที่ดำเนินการอยู่นั้นจำเป็นต้องใช้เวลาและรอ ป.ป.ช.อีกนานและจะทำให้ความขัดแย้งในสังคมไทยบานปลายออกไปเรื่อยๆ จำนวนคนซึ่งสนับสนุนและคัดค้านทั้ง 2 ด้านจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก และความรุนแรงดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนไทยปรารถนาจะเห็น กระบวนการอย่างอื่นสุดท้ายจะไม่มีการตัดสินให้จบสิ้นได้ หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าตนเองทำถูกต้องแล้วและยืนยันจะดำรงตำแหน่งต่อไป รวมทั้งมีคนสนับสนุนอีกเป็นจำนวนมาก
ขณะที่อีกฝ่ายหากเห็นว่าจำเป็นต้องถอดถอนก็จะดำเนินการต่อไป กระบวนการทั้ง 2 ด้านถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีฝ่ายทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องชัดเจน วิธีที่ดีที่สุดคือรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา ตนยังไม่เห็นทางออกอื่นที่จะนำสังคมไทยออกจากวังวนแห่งความขัดแย้งได้ คนจำนวนมากจะรู้สึกว่าระบบศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถพึ่งพา ไม่สามารถระงับปัญหาของสังคมได้อีกต่อไป
28 ส.ว.ตั้งหลักสู้ต่อ ด้านวิปฝ่ายค้านโดดร่วมวง
ด้าน นาย
ขณะที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า เมื่อสังคมยังกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งของนายก วิปฝ่ายค้าน จึงมีมติออกมาคือ เราจะสนับสนุนเรื่องนี้จนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป โดยจะประสานข้อมูลจาก 27 ส.ว. และหากจำเป็นเราจะดำเนินการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง เพราะเรื่องนี้ถือว่าเกี่ยวพันกับความน่าเชื่อถือในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ และเป็นการพิสูจน์แนวทางการปฎิรูปทางการเมืองของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย
ภาคประชาชนเตรียมเคลื่อนไหวนอกสภา
ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นายแพทย์เหวง โตจิราการได้นำพวงหรีดดำไปวางไว้ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นการประท้วงหลังมีคำตัดสินไม่รับคำร้องของ 28 ส.ว. พร้อมระบุว่าจะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 8 คนลาออก
น.พ.เหวง กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบ ข้ออ้างของ 8 ตุลาการที่ว่าไม่มีหลักฐานนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะคำร้องของ 28 ส.ว.ยื่นมาชัดเจนอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม ไม่ใช่รอให้ ส.ว.หาหลักฐานไปให้ครบทั้งหมด แล้วจะมีศาลรัฐธรรมนูญไว้ทำไม
"การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหุ้นนั้น เพียงแค่คำให้สัมภาษณ์ของนายพานทองแก้ ชินวัตร ลูกชายนายกรัฐมนตรีที่ว่า การขายหุ้นชินคอร์ปฯ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แค่นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านายกฯเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น" นพ.เหวง กล่าว
นาย
ด้าน นาง
ขณะที่ นาย
"เรามีมาตรการเสริมที่จะชี้ให้เห็นถึงความผิดในการซุกหุ้น(SHIN) ผมไม่สนใจผลวันนี้ แต่สิ่งที่จะทำต่อไปจะชี้ให้เห็นว่ามีการแทรกแซงการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาคนทั่วไปก็รู้แต่ไม่มีใครกล้าไปแจ้งดำเนินคดี" นายวีระ กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)