ภาพจาก : www.thaiinsider.com
ชื่อเดิม :
กว่า (ประชาชน) จะรู้เดียงสา : เคล็ดลับ (สำหรับทุนข้ามชาติ) ในการถลุงประเทศกำลังพัฒนา (ตอนจบ)
ฉบับที่แล้ว นายนิยม เอฟทีเอได้เล่าเคล็ดลับการเปลี่ยนประเทศกำลังพัฒนาให้เป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนไปแล้ว นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่ท่านอาจจะกระทำผ่านรัฐบาลของท่านเองและได้รับการสนับสนุนจากท่านและพวกในการสร้างแรงกดดันกับรัฐบาลอยู่ข้างนอก ซึ่งในบางครั้ง ท่านอาจพบว่าทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะอาจมีประชาชนจำนวนไม่น้อยคัดค้านแผนการนี้ดังที่เกิดอยู่เป็นประจำ ดังนั้น ในภาคสอง จึงจะขอเสนอแผนสำรอง B และ C เพื่อเป็นทางเลือกในการเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากทั้งสองแผนมันไม่โจ่งแจ้งนัก ถ้าประชาชนในประเทศนั้นไม่รู้ทัน โอกาสที่จะสำเร็จก็มี
แผน B "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" หัวใจคือการสร้างพันธมิตร ทำให้คนในประเทศเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาทั้งหลายให้สอดคล้องกับความต้องการของท่าน ที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริการประเทศ การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เพื่อความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนเป็นเหตุผลน่าฟังที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าข้อเรียกร้องของท่านจะดูเคี่ยวเพียงใด หนักก็เป็นเบาได้ และยิ่งประเทศของท่านมีความสัมพันธ์อันยืนยาวกับประเทศกำลังพัฒนานั้นมากเท่าไร ข้ออ้างนี้ก็จะยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเห็นดีเห็นงามของผู้มีอำนาจในประเทศกำลังพัฒนายังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายประการ หนึ่งในนั้น คือ การที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและหลักปฏิบัติที่เคยเป็นมาจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนจำนวนหนึ่งในประเทศตนในการที่จะเข้าไปลงทุนในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างอิสระขึ้นเป็นการต่างตอบแทน แม้ว่านักลงทุนประเภทนี้จะมีอยู่ไม่กี่รายก็ตาม
เมื่อท่านซื้อใจของผู้มีอำนาจในประเทศกำลังพัฒนาได้แล้ว ก็สบายใจได้ว่า พวกเขาจะพยายามอย่างดีที่สุดในการอำนวยความสะดวกตามข้อเรียกร้องของท่าน รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการต่างๆเสียเองเพื่อสนับสนุนหรือรองรับข้อเรียกร้องของท่านให้บรรลุง่ายขึ้น ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น การกำหนดบางพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
การกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นมีตัวอย่างในหลายประเทศที่มีแนวโน้มปิดกั้นสิทธิประชาชน เช่น จีน ฟิลิปปินส์ จอร์แดน รัสเซีย ยูเครน ดูไบ และอิหร่าน เป็นต้น พื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจฯจะมีมาตรการเป็นการเฉพาะสำหรับส่งเสริม สนับสนุนและอำนวยความสะดวกการดำเนินกิจกรรมบางอย่าง เช่น การลงทุนในกิจการเกษตร อุตสาหกรรม เหมืองแร่ ซึ่งอาจมีขอบเขตหรือมีความยืดหยุ่นมากไปกว่าที่กฎหมายในประเทศกำหนดไว้เดิม เช่น ได้รับสิทธิในการส่งเงินเข้าออกประเทศอย่างอิสระ สามารถนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตเพื่อการส่งออกได้โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยมาตรฐานคุณภาพ สิทธิในการลงทุนในกิจการที่สงวนไว้สำหรับคนท้องถิ่น หรือ การกำหนดให้อำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่กับคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจฯ เป็นต้น นโยบายเช่นนี้จะช่วยให้การลงทุนของท่านเป็นไปได้สะดวกขึ้นมาก แม้ว่าท่านจะไม่บรรลุในข้อเรียกร้องตามเคล็ดลับในฉบับก่อนก็ตาม
อีกวิธีที่เด็ดขาดไม่แพ้กัน คือ การริเริ่มแก้กฎหมายในประเทศ เพราะแท้จริงแล้ว ต้นตอของอุปสรรคในการลงทุนของท่านก็มาจากตัวบทกฎหมายในประเทศกำลังพัฒนานั่นเอง เหตุผลที่ดีที่สุด คือ การแก้กฎหมายเพื่อการปรับตัวให้แข่งขันได้ และรองรับกระแสการเปิดเสรี และเมื่อผู้มีอำนาจสั่งการให้แก้ไขกฎหมายให้เป็นไปในทางเดียวกับข้อเรียกร้องของนักลงทุนอย่างท่านแล้ว เรื่องอื่นๆก็กลายเป็นเรื่องเล็ก
แผน C "ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก" ขอเพียงท่านไม่ละทิ้งความพยายามในการเปลี่ยนแปลงประเทศกำลังพัฒนาให้เป็นสวรรค์ของท่านและเพื่อนนักลงทุนอื่นๆ ท่านจะสามารถหาหนทางในการผลักดันวาระต่างๆได้ไมขาดสาย จะขอยกตัวอย่างประสบการณ์ของสหรัฐอเมริกากับเรื่องการลงทุน อย่าลืมว่าการเรียนรู้อดีตจะช่วยให้เรามองเห็นอนาคตได้
ก่อนอื่นที่มาของเรื่องการลงทุนโดยเสรีแตกต่างจากการลดอัตราภาษีศุลกากรในการค้า เพราะว่าเกี่ยวข้องกับอำนาจและสิทธิของรัฐในการควบคุมดูแล และผลประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น ช่วงแรก ความพยายามจึงอยู่ในรูปการทำข้อตกลงแบบสองต่อสองผ่าน ข้อตกลงว่าด้วยการลงทุน หรือข้อตกลงในระดับภูมิภาค ความพยายามครั้งแรกในการสร้างข้อตกลงด้านการลงทุนที่สามารถจะใช้ได้กับทั่วโลก หรือที่เรียกว่า เป็นข้อตกลงพหุภาคี เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2491 ภายใต้การร่างกฎบัตรฮานาว่า ซึ่งเป็นกฎบัตรที่ว่าด้วยองค์การการค้าระหว่างประเทศ ในตอนนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาได้ผนวกเรื่องการลงทุนเข้าไว้กับเรื่องการค้าระหว่างประเทศ แต่ประเทศกำลังพัฒนาก็คัดค้านรวมทั้งเสนอว่าถ้าจะมีเรื่องการลงทุนจริงๆ ต้องรวมเรื่องการต่อต้านการแข่งขัน (Anti-competitive practice) ไว้ด้วย ซึ่งสุดท้ายก็มีอุปสรรคตรงที่ธุรกิจเอกชนในสหรัฐฯจำนวนมากไม่พอใจและคัดค้านจนกฎบัตรฮานาว่าเป็นอันต้องล้มไป
เมื่อไม่เป็นผลในความพยายามครั้งแรก ในปี 2516-2522 สหรัฐฯก็หันไปให้ความสนใจกับการผลักดันเรื่องการลงทุนในแกตส์ในรอบโตเกียว แต่ก็ไม่สำเร็จอีกครั้ง เพราะการคัดค้านจากประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการทำข้อตกลงกับแคนาดาและเม็กซิโกในข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือนาฟต้า สหรัฐฯก็ได้ผลักดันเรื่องการลงทุนให้อยู่ในข้อตกลงได้สำเร็จ
ความพยายามที่จะผลักดันข้อตกลงการลงทุนในระดับพหุภาคียังมีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการที่สหรัฐฯเสนอให้จัดทำข้อตกลงพหุภาคีที่ครอบคลุมเรื่องการลงทุนในทุกสาขาทุกประเด็นระหว่างการเจรจาแกตต์รอบอุรุกวัย เมื่อมีการคัดค้านจากประเทศกำลังพัฒนา ประเด็นการลงทุนจึงถูกลดเหลือเป็นเพียง "มาตรการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า" แทน แต่ขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็ผลักดันให้เริ่มมีการเจรจาการค้าบริการ เพราะแท้จริงในทางหนึ่งแล้ว การค้าบริการก็คือการทำให้การลงทุน (ในสาขาบริการ) เป็นไปโดยเสรี เมื่อมีเสียงคัดค้านอีก จึงได้แยกประเด็นการลงทุนและบริการออกจากกัน
หลังจากที่ได้พยายามผลักดันข้อเรียกร้องด้านการลงทุนของตนในเวทีองค์การการค้าโลก แต่ไม่สำเร็จนัก สหรัฐฯก็เลยเบนเข็มไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ในองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ร่ำรวย สหรัฐฯเสนอข้อตกลงที่เรียกว่า ข้อตกลงพหุภาคีว่าด้วยการลงทุนหรือเอ็มเอไอ (MAI) แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาขัดแย้งกับแคนาดาและสหภาพยุโรปในเนื้อหาของข้อตกลงรวมทั้งการคัดค้านจากองค์กรพัฒนาเอกชน สุดท้ายข้อตกลงเอ็มเอไอก็ต้องเป็นหมันไปอีก
แล้วก็มาถึงเอฟทีเอที่สหรัฐฯเป็นหนึ่งในผู้ผลักดัน สหรัฐฯไล่ทำเอฟทีเอกับหลายประเทศโดยที่มีประเด็นการลงทุนรวมอยู่ด้วยในทุกเอฟทีเอ และเนื่องด้วยในเอฟทีเอมีหลายเรื่องรวมอยู่ด้วยกัน จึงเป็นการง่ายที่จะใช้ประเด็นที่ประเทศกำลังพัฒนาสนใจ เช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตร เป็นเครื่องมือในการหลอกล่อให้ประเทศเหล่านี้ยอมแลกเปลี่ยนเรื่องการลงทุนด้วย
และล่าสุด ข้อตกลงเอ็มเอไอกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพราะกลุ่มประเทศโออีซีดีได้เผยแพร่ร่าง "กรอบนโยบายสำหรับการลงทุน" อีกครั้ง ซึ่งมีหลายคำถามที่เป็นไปในแนวทางคล้ายคลึงกับข้อตกลงเอ็มเอไอ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การผลักดันวาระจากตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ในจังหวะเวลา รูปแบบ และระดับที่แตกต่างกัน และอย่าให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้สหรัฐฯในการบรรลุความปรารถนาได้ดีขึ้น นี่แหละคือวิธีการที่เขาทำกัน
เอาล่ะ มาถึงตอนนี้ หวังว่านักลงทุนต่างชาติทุกท่านคงจะได้ความรู้ไปล้นกระเป๋า ก่อนจะลากันไป นายนิยม เอฟทีเอ ขอสรุปเป็นตารางข้างล่าง ดังนี้
"บทว่าด้วยการลงทุน" ใน "เอฟทีเอ" | ท่านในฐานะนักลงทุนต่างประเทศ...ได้ | ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา...ได้ |
การกำหนดนิยามการลงทุนอย่างกว้างขวาง การห้ามการจำกัดการเคลื่อนย้ายเข้า-ออกของการลงทุน ผลกำไร รายได้ ดอกเบี้ย ฯลฯ รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขปกป้องการเข้ามาลงทุนในกิจการบางอย่าง | "อภิสิทธิ์" ในการเข้า-ออกของทุนอย่างเสรีและลงทุนอย่างเสรีในทุกกิจการ | "โอกาส" โอนถ่ายทรัพยากรและส่วนเกินในประเทศออกไปนอกประเทศและมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกมากขึ้น |
ห้ามไม่ให้มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆด้านการลงทุน รวมถึงการถ่ายโอนเทคโนโลยี | "อภิสิทธิ์" ในการกันไม่ให้ประเทศกำลังพัฒนาเรียนรู้เทคโนโลยี | "โอกาส" ในการเป็นพึ่งพิงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศไปเรื่อยๆ |
ให้มีกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและนักลงทุน | "อภิสิทธิ์" ในการคุ้มครองอย่างแข็งขันและรับโอนถ่ายอำนาจอธิปไตยของรัฐมาสู่ตน | "โอกาส" จ่ายภาษีจำนวนมหาศาลเพื่อชดเชยความเสียหายของทุน |
"อภิสิทธิ์" ไม่ต้องมีภาระและหน้าที่ต่อประเทศนั้น | "โอกาส" ในการอุดหนุนทุนให้ใช้ประโยชน์จากประเทศอย่างเต็มที่ |
-------------------------------------
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)