ประชาไท - 23 ส.ค.2549    หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทริบูน รายงานอ้างแถลงการณ์จากกระทรวงก่อสร้างจีนที่ระบุว่า รัฐบาลปักกิ่ง มีแผนใช้จ่ายเงิน 1 ล้านล้านหยวน (125,500 ล้านดอลลาร์) ภายในปี 2553 เพื่อสร้างโรงงานบำบัดน้ำเสียและปรับปรุงระบบการแจกจ่ายน้ำ

นอกจากนี้ทางการจีนยังจะใช้เงินจำนวน 330,000 ล้านหยวน ในงบประมาณที่จะใช้แก้ปัญหาน้ำเสียไปกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำในพื้นที่เขตเมือง โดยมีเมืองต่างๆ มากถึง 278 แห่งที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกในการบำบัดดูแลน้ำอย่างเหมาะสม และมีอย่างน้อย 30 เมืองที่เป็นที่ตั้งของโรงงานต่างๆที่มีกำลังการผลิตไม่ถึง 30%

นายชิว เป๋าซิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก่อสร้างของจีนกล่าวว่า ขณะนี้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำครั้งใหญ่ที่สุดของจีน เนื่องจากจำนวนประชากรในเขตเมืองเติบโตอย่างต่อเนื่องมากถึง 15 ล้านคนต่อปี โดยผู้ใช้น้ำในเขตเมืองของจีนเพิ่มขึ้น 78.7 ล้านคน ระหว่างปี 2543 และปี 2548 เป็น 327 ล้านคน บรรดาโรงงานต่างๆ ตลอดจนประชาชนในเขตเมืองใช้น้ำในสัดส่วน 34% ของปริมาณการใช้น้ำทั่วประเทศในปี 2547 เพิ่มขึ้นจาก 25% ในช่วงปี 2541

จีนต้องการเข้าถึงเงินทุนและความช่วยเหลือด้านเทคนิคจากบรรดาบริษัทต่างชาติ อาทิ วีโอเลีย เอนไวรอนเมนท์ ให้มาทำหน้าที่จัดการน้ำสะอาดให้แก่ประเทศ ซึ่งปัญหาขาดแคลนน้ำตามธรรมชาติของจีนเลวร้ายลง เนื่องจากมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคอุตสาหกรรมทั้งภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ ส่งผลให้จีนเผชิญหน้ากับความแห้งแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี

"เรายินดีต้อนรับบริษัทด้านบำบัดน้ำเสียจากประเทศต่างๆทั่วโลกให้เข้ามาร่วมในธุรกิจด้านนี้ ที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ ซึ่งรวมถึง วีโอเลีย และสุเอซ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเข้ามาดำเนินธุรกิจด้านบำบัดน้ำเสียในจีน จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าจีนเปิดกว้างในธุรกิจด้านนี้" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก่อสร้างของจีน กล่าว

ประเทศที่ภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นจีน กำลังดึงดูดบริษัทตะวันตกที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสียและให้บริการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับน้ำเข้าไปลงทุนในจีน ซึ่งมีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 400,000 ล้านดอลลาร์

 "การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม กระตุ้นให้ธุรกิจด้านการบำบัดน้ำเสียเติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะในจีน และรัสเซีย "นายวิลเลียม โรว์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ(ซีโอโอ)ของนัลโก้ บริษัทบำบัดน้ำเสียในรัฐอิลลินอยส์ ของสหรัฐ ที่เน้นเจาะตลาดเกิดใหม่ กล่าว

ที่มา : เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ