Skip to main content
sharethis

7 ก.ย. 2549 - ภายหลังจากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการทำสัญญาสัมปทานของสถานีโทรทัศน์ไอทีวีข้อ 5 วรรค 4 ไม่ชอบด้วยกฏหมายตามคำวินิจฉัยของศาลกลางกลาง ที่มีพล.ต.อ.พีรพันธุ์ เปรมภูติ  รักษาการปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ดำเนินการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องครบกำหนดแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ตามคำสั่งของนายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


 



ขณะนี้รอเพียงเอกสารยืนยันความเห็นจากสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  กรณีคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่มีคำสั่งให้สัญญาแก้ไขเพิ่มเติมข้อ 5 วรรค 4 ว่าจะมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ จากนั้นจะนำความเห็นดังกล่าวมาประกอบผลสรุปของคณะกรรมการสอบสวนฯ ก่อนเสนอให้นายเนวินพิจารณาต่อไป


 



อย่างไรก็ตาม ขณะที่รอความเห็นจากสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา ซึ่งความเห็นดังกล่าวจะเป็นเครื่องชี้ชะตาสถานีโทรทัศน์ไอทีวี โดยแหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)  เปิดเผยว่า ถึงตอนนี้ทางด้านกฏหมายมีความเห็นว่าไอทีวีละเมิดสัญญาจริง และจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับสปน.ในฐานะคู่สัญญาร่วมงาน ส่วนจะปรับเป็นจำนวนเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการเจรจากันทั้งสองฝ่าย ซึ่งทางสปน.คิดความเสียหายเป็นเงิน  7.6 หมื่นล้านบาท แต่ทางไอทีวีคำนวณค่าเสียหายเพียงแค่  2 พันกว่าล้านเท่านั้น


 



ทั้งนี้ มีการมองกันไปไกลถึงว่าถ้าไอทีวียอมจ่ายค่าชดเชย แต่ไม่มีเม็ดเงินเพียงพอจะจ่ายให้กับรัฐ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารไอทีวีต่อไป ดังนี้ จึงจะมีการแปลงหนี้ก้อนดังกล่าวเป็นทุน โดยให้ภาครัฐเข้าไปถือหุ้นในไอทีวีตามสัดส่วนที่ถูกปรับ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางไอทีวีได้ชี้แจงไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แล้วว่า กรณีค่าปรับฝ่ายไอทีวีคำนวณค่าปรับได้ 2,413 ล้านบาท หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาตามศาลปกครองกลาง


 



แหล่งข่าวระดับสูงจากสปน. กล่าวว่า กรณีที่ภาครัฐจะแปลงหนี้เป็นทุนเข้าไปถือหุ้นในไอทีวีนั้นจะกระทำได้โดยให้กระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นโดยตรง  อย่างเช่นที่เข้าไปถือหุ้นในบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จำนวน 77% สอดคล้องความเคลื่อนไหวกับทางด้านสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำลังเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินของไอทีวี เสมือนว่าเข้าไปเอ๊กซเรย์ภายในก่อนที่จะยึดกิจการ



 


โดยทางพล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ รักษาการปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตนพร้อมกับข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องจะเดินทางไปเข้าตรวจสอบทรัพย์สินไอทีวีในเร็วๆ นี้ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุวันที่ได้ ซึ่งได้แจ้งไปยังไอทีวีให้รับทราบแล้ว โดยการเดินทางไปครั้งนี้เป็นการไปตรวจเยี่ยมธรรมดาเพื่อตรวจดูทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในสัญญาว่าทรัพย์สินที่ไไอทีวีได้มาจะต้องตกเป็นทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาทางไอทีวีได้มอบรถยนต์ที่ไม่สามารถใช้งานให้แก่สปน.แล้ว เนื่องจากเป็นทรัพย์สินของรัฐทางไอทีวีไม่สามารถนำไปเปิดประมูลขายได้



 


"ทางไอทีวีรู้ว่าเราจะมีการเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินก็เลยกลัวกันว่าจะถูกยึดทรัพย์สิน  จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไร"



 


ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า การซื้อขายหุ้นไอทีวีวันที่ 5 กันยายน 2549 เวลา 14.00 น. อยู่ที่หุ้นละ 3.54 บาท  มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 4,247.57 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีมีเพียงแค่ 1.63 บาทเท่านั้น



 


ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบดูดูฐานะการเงินของไอทีวีมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากภาระการจ่ายค่าสัมปทานลดลงเหลือเพียง 230 ล้านบาทต่อปี จากที่จะต้องจ่าย 1,000 ล้านบาทต่อปี



 


นอกจากนี้ ยังมีหนี้ท่วมอีก 5.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นขาดทุนสะสม 3.5 พันล้านบาท และจ่ายสัมปทานย้อนหลังให้สปน.อีก 2 พันกว่าล้านบาท


 



 


ที่มา - สยามธุรกิจ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net