Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

โดย จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม


 


1.


 "ประเทไท รั้วะเลือเนื้อชาเชื้อไท" เด็กปกาเกอะญอไร้สัญชาติแข่งกันตะเบงเสียง แสดงความเคารพต่อแผ่นดินที่พวกเขาเกิดและเติบโต


           


บ่ายของวันที่ 13 ตุลาคม 2548 นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้นั่งเรือทวนน้ำสาละวิน ขึ้นไปยังจุดหมายปลายทาง ขวามือคือรัฐไทย ส่วนฝั่งซ้ายเป็นพม่า ระยะเวลาเกือบ 4 ชั่วโมงบนเรือต่างควายลำนั้น จากจุดเริ่มต้นจนถึงที่หมาย ฝั่งขวาปกครองด้วยรัฐบาลเดียว การปกครองแบบเดียว และดูจะเป็นอันหนึ่งอันเดียว ขณะที่ฝั่งซ้ายเหล่าผู้มีอิทธิพลทางทหารกลับแบ่งเขตกันคุม และเต็มไปด้วยความขัดแย้งตลอดเวลา...


 


จุดหมายของเราคือ หมู่บ้านแม่ดึ๊ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน หมู่บ้านเล็กๆนอกแผนที่ประเทศไทย (ดินแดนฝั่งขวาที่ดูเป็นหนึ่งเดียวที่ว่า) ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำสาละวิน และแน่นอนฝั่งตรงข้ามคือพม่า ชาวบ้านที่นี่เป็นชาวปกาเกอะญอไร้สัญชาติ ตกสำรวจ ที่สำคัญอยู่นอกความรับรู้ของรัฐไทย ไร้ที่ทำกิน (เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่บริเวณที่รัฐจัดเป็นเขต "อุทยาน") ไม่มีสถานีอนามัย ไม่มีโรงเรียน สมบัติของรัฐไทยชิ้นเดียวที่มีคือแผ่นกระดานไม้แผ่นใหญ่เรียงเป็นตับและตอกหรากลางหมู่บ้าน บนเนื้อไม้นั้นมีตัวอักษรภาษาไทยที่ชาวบ้านอ่านไม่ออกเลยสักตัว ความว่า...


 


กฎระเบียบหมู่บ้าน


1.      เราต้องพัฒนาหมู่บ้านของเรา


2.      เราต้องรักษาประเทศชาติให้มั่นคง


3.      เราอยู่ด้วยความสามัคคีซึ่งกันและกัน


4.      ห้ามลักเล็กขโมยน้อย


5.      ห้ามมีสิ่งผิดกฎหมายในหมู่บ้าน


6.      ห้ามมียาเสพติด


โดย.. ร้อย ทพ.3603 ทพ. 36


 


10 วัน ในแม่ดึ๊ การสะพายกระเป๋ากล้องเดินไปมาในหมู่บ้านทำให้ต้องกลายเป็นหมอจำเป็น ด้วยลักษณะของกระเป๋ากล้องที่ดูคลับคล้ายกระเป๋ายาที่คุณหมอตามชายแดนหิ้วคู่กาย หลายครั้งที่เดินผ่าน ชาวบ้านจะเรียกให้ไปดูคนเจ็บในบ้าน บ้านแรกลูกชายป่วยเป็นไข้มาหลายวันแล้ว แต่โชคดีที่ยาพาราฯของเราทำให้เขาออกมาเดินเล่นได้ในวันรุ่งขึ้น แต่โชคร้ายที่อีกหลายบ้าน มีหลายคนป่วยมากเกินกว่าเพียงลำพังยาของเราจะช่วยได้ แม่คนหนึ่งเจ็บตา ส่วนพ่อก็เป็นแผลน้ำร้อนลวก อีกบ้านแม่แก่ๆ ปวดเข่า พ่อเฒ่าอีกคนปวดขาเดินไม่ได้ ส่วนบ้านอีกหลังลูกน้อย 3 ขวบตัวเหลืองตาเหลือง ผอมแกร็น (รู้ทีหลังว่าเป็น ธาลัสซีเมีย)


 


ความโชคร้ายประการแรกคือ การที่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ความโชคร้ายประการที่สองที่หนักหนากว่าอันแรกนักคือ การเป็นคนไร้สัญชาติ ไร้บัตรประจำตัว อย่าว่าแต่ โครงการ 30 บาทที่ควรจะได้ แม้แต่การเหยียบเข้าไปในผืนแผ่นดินไทยก็ผิดแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านหลายคนเคยถูกจับหลังจากเข้าไปในเมือง (ด้วยข้อกล่าวหาเป็นพม่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ทำให้ชาวบ้านอีกหลายคนไม่กล้าที่จะออกจากหมู่บ้านอีกเลย ความเป็นไปของชาวบ้านเลยกลายเป็นเรื่องโชคชะตาที่รัฐเป็นคนขีดให้ ที่สุดแล้วเรื่องความป่วยไข้ก็คงเป็นไปตามยถากรรม...


 


2.                                                                          


 "ทางโรงเรียนขอให้นักเรียนทุกคนกลับบ้านได้ และโรงเรียนจะปิดไปอีกหลายวัน ขอให้นักเรียนนำจดหมายของโรงเรียนมอบให้ผู้ปกครองอ่านด้วยนะคะ" เสียงประกาศของโรงเรียนตะโละหะลอ  ก้องกังวานของยามบ่าย วันที่ 28 ธันวาคม 2547


           


ตะโละหะลอ เป็นโรงเรียนชั้นประถม-มัธยมอยู่ระหว่างทางจากยะลาถึงนราธิวาส หลังการถูกลอบวางเพลิงบางส่วนเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2547 และวันนี้ครูคนหนึ่งในยะลาก็ถูกยิงเสียชีวิต ทำให้โรงเรียนต้องประกาศหยุดเรียนชั่วคราวและให้เด็กนักเรียนกลับบ้าน ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโรงเรียนวันนั้น ทำให้ครูหลายคนรู้สึกหวาดระแวงไม่น้อยที่จะคุยกับคนแปลกหน้า


 


ซากีร์ อาแว ชั้น ม.1 เป็นเด็กชายคนเดียวในโรงเรียนที่ยอมพูดคุยกับเราเล่าว่า "รู้สึกกลัวมาก และไม่อยากได้ยินเสียงระเบิดอีก" เขาพูดพร้อมแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความกลัวและแม้น้ำตาจะไม่เอ่อนอง แต่ก็พาลจะทำให้น้ำตาของคนที่คุยด้วยยั้งไว้แทบไม่อยู่ เราอยากซ่อนอารมณ์นี้ไว้จึงแสร้งขอซากีร์ถ่ายรูป แต่มันกลับทำให้หนุ่มน้อยตระหนกมากขึ้น เพื่อความสบายใจของเด็กเราเลยไม่ได้เก็บภาพแววตาพรั่นพรึงคู่นั้น หากแต่สิ่งที่ได้เก็บไว้เป็นภาพซี่งฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในห้วงคำนึงทุกครั้ง ยามได้ยินเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ทุกวันบนหน้าหนังสือพิมพ์...


 


3.


จากริมฝั่งสาละวินถึงริมรั้วตะโละหะลอ


ทั้งเหตุการณ์ที่ชาวบ้านแม่ดึ๊ต้องประสบพบเจอกับปัญหาไร้สัญชาติ อันทำให้เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ ชาวบ้านไปหาหมอไม่ได้ และต้องเจอะเจอกับความอยุติธรรมเมื่อเข้าเมือง และปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านในสามจังหวัดชายแดนใต้ต้องพบเจอกับความรุนแรงรายวันซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ รวมไปถึงการที่เด็กในสามจังหวัดต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ชีวิตวัยเด็กอย่างพวกเขาไม่น่าจะต้องพบเจอ ทำให้การมองปัญหาเหล่านี้เพียงผิวเผินหรือเฉพาะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่พอ


 


เราจำต้องมองปัญหาเหล่านี้ด้วยการวิเคราะห์ไปที่โครงสร้างของสังคมเพื่อจะนำไปสู่การเข้าใจปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาในแง่มุมที่แตกต่างหลากหลาย จุดสำคัญต่อการพิจารณาความรุนแรงเชิงโครงสร้างคือ การใส่ใจกับสาเหตุต่างๆ ที่ซ่อนอยู่และประสานร้อยรวมกันเป็นโครงสร้างที่แวดล้อมตัวผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ [1]


 


การป้องกันปัญหาความมั่นคงของรัฐด้วยการไม่ให้สัญชาติกับชาวบ้าน ทั้งที่บางคนเห็นแผ่นดินไทยมาแต่อ้อนแต่ออก ทำให้ชาวบ้านกลายเป็นอื่นจากคนส่วนใหญ่ของประเทศ การก่อกำเนิดของรัฐชาติ และการใช้แม่น้ำเป็นเส้นกั้นความเป็นเขาเป็นเรา รวมไปถึงการสร้างความรู้จากการเขียนประวัติศาสตร์ พม่าเป็นผู้ร้ายและไทยเป็นวีรบุรุษ หรือเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้อันเป็นปัญหาทั้งจากฝ่ายรัฐและฝ่ายผู้ก่อความรุนแรง ที่ต่างก็เลือกใช้ความรุนแรงเป็นวิธีแก้ปัญหา โดยไม่ได้นึกถึงปัญหาที่ตามมา


 


และแม้ว่าความรุนแรงทางตรงอาจจะถูกแก้ไขได้ แต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลมากกว่าคือ ร่องรอยของความรุนแรงทั้งทางตรงเหล่านี้อาจจะกลายร่างเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อชีวิตผู้คนมากมายและอาจจะเป็นซุงท่อนใหญ่ที่ขวางสายธารแห่งสันติภาพในอนาคต


 


ปัญหาของเด็กไร้สัญชาติซึ่งไม่ได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเท่าเทียมกับผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็น "พลเมือง" อาจทำให้พวกเขาเติบโตมาด้วยความหวาดกลัว ไร้ที่ทางในการดำรงชีวิต ขณะเดียวกันการเติบโตมาท่ามกลางห่ากระสุนและเสียงระเบิดอาจทำให้เด็กๆหลายคนในสามจังหวัดภาคใต้ผลิตซ้ำความรุนแรงได้ในวันข้างหน้าเพราะการต้องพบเจอกับเหตุการณ์ความรุนแรงรายวัน ทำให้ชีวิตวัยเด็กถูกบดบังและแทนที่ด้วยภาพความรุนแรงที่อาจก่อเป็นความเคียดแค้น โกรธ เกลียด เป็นผลทางอารมณ์ที่อาจสะสมและชินชาต่อภาพความรุนแรงที่เห็นตรงหน้า จนมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงในอนาคต


 


ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงไม่เพียงแต่เป็นผลมาจากความรุนแรงเชิงโครงสร้างเดิมที่มีอยู่เท่านั้น แต่ยังอาจตอกย้ำและผลิตซ้ำความรุนแรงเชิงโครงสร้างแบบเดิม แบบใหม่ๆ และยังเป็นปุ๋ยชั้นดีในการบำรุงให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงทางวัฒนธรรมหยั่งรากลึกลงมากขึ้นในสังคมไทย…


..............


           


"ตั้งแต่หนูเกิดมาไม่เคยเห็นแผ่นดินไหน นอกจากแผ่นดินไทย" มึดา นาวานารถ เด็กปกาเกอะญอที่ต่อสู้เพื่อให้ได้สัญชาติมาหลายปี


 


"ผมไม่รู้หรอกครับว่าเป็นใครที่ทำแบบนี้ ถ้าทำได้ผมอยากจับโจรพวกนี้ให้หมด" ซากีร์ เด็กชายชาวมลายูมุสลิม จากตะโละหะลอ


 


แล้วรัฐไทยยังทำกับพวกเขาเหล่านี้ได้ลง...เชียวหรือ???


 


"ไทยนี้ระสะโงะ  แต่ทึ๊โระไม่ขลา เอกะราจะไม่ให้ไคโขะขี่" แล้วเพลงชาติก็ยังคงบรรเลงต่อไป...


 


 






[1] ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, สันติทฤษฏี/วิถีวัฒนธรรม, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2539), .25.


 


* หมายเหตุ: ด้วยบทความชิ้นนี้เขียนขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2548 แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่ทำให้บทความชิ้นนี้เผยแพร่ล่าช้า จนถึงขณะนี้เด็กน้อยวัย 3 ขวบที่กล่าวถึงในบทความได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ผู้เขียนจึงขอไว้อาลัยและเสียใจอย่างยิ่งกับการจากไปของหนึ่งชีวิตที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับสิ่งที่รัฐได้กระทำ      


 


บทความนี้ ตีพิมพ์ในจุลสารของกลุ่ม South - See


ภายใต้บริบทของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสภาพสังคมที่มีความแตกแยกทางความคิด ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันของคนในสังคมและคนต่างภูมิภาค กลุ่มเยาวชนที่มีความห่วงใยต่อสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจึงรวมตัวกันขึ้นเกิดเป็น กลุ่ม South-See และ กลุ่มเยาวชนเพื่อสันติภาพสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีเยาวชนจากหลายสถาบัน หลากหลายช่วงอายุและต่างสาขาวิชาเรียนเข้าร่วมทำกิจกรรม เพื่อต้องการทำความเข้าใจ และร่วมใส่ใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นทางกลุ่มจึงร่วมกันจัดทำจุลสาร "South-See" พร้อมสโลแกนที่ว่า "กลุ่มเล็กๆที่ทำกิจกรรมเล็กๆ ด้วยความหวังที่ยิ่งใหญ่" เพื่อเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจและความห่วงใยให้เกิดขึ้นระหว่างคนในสังคม โดยหวังว่าพลังเล็กๆของเยาวชนจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net