โดย อุทัยวรรณ เจริญวัย |
เมื่อพูดถึง "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" (ของบุช) จนถึงบัดนี้ มีอย่างน้อย 3 เรื่องที่ปัญญาชนซ้าย (และบางส่วนไม่ซ้าย) ทั้งเถียงกันเอง เถียงกับวอชิงตัน และยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ค่อยได้
3 เรื่องที่ว่าได้แก่ความลึกลับเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 อัล-ไคดา และโอซามา บิน ลาเดน
เถียงกับวอชิงตัน? อันเนื่องมาจากความจำเป็นของเอ็มไพร์อเมริกาที่จะต้องมี "ศัตรูที่ยิ่งใหญ่น่ากลัวสุดสยอง" ไว้หลอนประชาชนตัวเองเสมอ เรื่องเล่าอย่างเป็นทางการของทำเนียบขาวที่เกี่ยวกับบิน ลาเดน และอัล-ไคดา จึงมีแรงจูงใจทุกประการที่จะเว่อร์ การก่อการร้ายหลายๆ เรื่องเกี่ยวข้องกับอัล-ไคดาจริงหรือไม่? บิน ลาเดนมีบทบาทจริงๆ แค่ไหน? มีข้อโต้แย้งวอชิงตันเกิดขึ้นมากมาย ขณะที่บางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า บิน ลาเดนอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เถียงกันเอง? เพราะจุดกำเนิดของอัล-ไคดา มีกลิ่นไอและรอยนิ้วมือของซีไอเอเข้ามาเปรอะเปื้อนจนปิดไม่มิด และเพราะเหตุการณ์ 9/11 เป็น pretext ที่ดีในการเปิดฉากถล่มตะวันออกกลาง ทุกวันนี้ซ้ายจำนวนหนึ่งจึงมีอาการขี้สงสัยสูงเป็นพิเศษ (ย้อนไปในยุค 80 ช่วงที่มูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานทำสงครามต้านรัสเซีย บิน ลาเดนได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากซีไอเอ ผ่านทาง ISI - ข่าวกรองปากีสถาน) คำถามยอดฮิตที่ยังเถียงกันไม่เสร็จมีอยู่ว่า ใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 กันแน่? คณะผู้บริหารบุชปิดบังอะไรไว้? ซีไอเอ ไอเอสไอ และอัล-ไคดามีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน อย่างไร? (บางกลุ่มเชื่อว่า ในช่วงสงครามบอลคานที่มูจาฮีดีนเข้าไปร่วมด้วย บิน ลาเดน และซาวาฮิรี ยังมีความสัมพันธ์กับซีไอเออยู่) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ซ้ายขาใหญ่ทั้งหลายยังคงปฏิเสธแนวคิดแบบ conspiracy ที่มีจินตนาการฟุ้งเกินไปในเรื่องนี้
บนเงื่อนไขปัจจุบัน ข้อสงสัยบางข้อ อาจเสียเวลาเกินกว่าจะไปสำรวจ ขณะที่ข้อสงสัยบางข้อ การสำรวจข้อมูลจากหลายๆ ด้าน อาจช่วยลดความคลุมเครือและมายาคติบางอย่าง ทำให้เรารู้ทัน-เข้าใจ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ของบุชได้ดีขึ้น
รายงานชิ้นต่อไปนี้ เป็นชิ้นแรกสำหรับการสำรวจหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัล-ไคดา (และอาจเลยไปถึงกลุ่มที่ถูกติดป้าย "ผู้ก่อการร้าย" กลุ่มอื่นๆ) ซึ่งจะมีมานำเสนอเป็นระยะๆ จากหลายๆ มุม หลายๆ ฝ่าย เท่าที่จะมีข้อมูลน่าสนใจ โดยเราจะเริ่มกันที่ซีไอเอระดับหัวแถวที่ใกล้ชิดกับงานด้านต่อต้านการก่อการร้ายจำนวนหนึ่ง ซีไอเอคิดอะไร? และซีไอเอเห็นด้วยกับวอชิงตันมากน้อยแค่ไหน? อ่านเพื่อเก็บข้อมูล และ "ดูใจซีไอเอ" ในฐานะ "ตัวละครสำคัญ" ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ส่วน "ดีงามจริงลวง" จะอยู่ตรงไหน วันนี้ยังไม่มีคำตอบสำเร็จรูปวางขาย แต่เราจะมีงานท้าทายวอชิงตันมาให้อ่านกันไปเรื่อยๆ
0 0 0
สงคราม@@แหล และบทเรียนทั้งห้า
ประธานาธิบดีบุช ไม่เพียงแต่จะปั้นแต่งสงครามเฟคๆ - "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" - เพื่อมาเขย่าขวัญประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้สนับสนุนนโยบายของเขาเท่านั้น เขายังล้มเหลวที่จะรับมือกับภัยคุกคามที่แท้จริงของอเมริกาอีกด้วย
รอเบิร์ต ดรายฟัส
21 กันยายน 2006
ในเดือนสิงหาคม ก่อนหน้าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อการร้ายจำนวนสองโหลในลอนดอนด้วยซ้ำ ประธานาธิบดีบุช และบรรดาที่ปรึกษาของเขาต่างก็ออกมาฉวยโอกาสแสดงบทบาทในเรื่องนี้กันใหญ่ เป้าหมายของพวกเขาไม่เกี่ยวกับการหยุดยั้งผู้ก่อการร้าย ซึ่งล้วนแต่สิ้นฤทธิ์หมดลายอยู่ในกรงขังไปตั้งนานแล้ว แต่มันเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากภัยคุกคามดังกล่าว เพื่อที่จะทำให้ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" อันไร้จุดจบของพวกเขา ฟังดูสมเหตุสมผลและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากขึ้น
รองประธานาธิบดีดิก เชนีย์ ผู้ซึ่งรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ ได้พูดเป็นนัยไปถึงภัยคุกคามจาก "พวกผู้ก่อการร้ายแบบอัล-ไคดา" วันรุ่งขึ้น ประธานาธิบดี ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่สนามบินในวิสคอนซินได้กล่าวเตือนประชาชนว่า การจับกุมครั้งนี้เป็น "สัญญาณเตือนอันชัดเจนว่า ชาติของเรากำลังทำสงครามอยู่กับพวก แฟชิสต์อิสลาม (Islamic Fascists)" บ่ายวันเดียวกัน ปีเตอร์ เวห์เนอร์ (Peter Wehner) ผู้อำนวยการ Office of Strategic Initiatives หน่วยงานของทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่า อเมริกากำลังเผชิญหน้ากับอะไรสักอย่างที่ไม่น้อยไปกว่า "การต่อสู้ทางอารยธรรม" (a civilizational struggle) และศัตรูของอเมริกาก็คือ ผู้ซึ่งแสวงหาหนทาง "ก่อตั้งอาณาจักรอิสลามเคร่งลัทธิสุดขั้วที่แผ่ขยายตั้งแต่สเปนไปจนถึงอินโดนีเซีย"
แต่โชคดี เวห์เนอร์กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผู้นำของประเทศนี้รู้วิธีต่อสู้และรับมือกับการก่อการร้าย "จอร์จ ดับเบิลยู บุช มีความเข้าใจ - ที่แจ่มแจ้งลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป - ถึงการต่อสู้อันยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยของเรา"
ตรงกันข้าม ปัญหามีอยู่ว่า แทบทุกอย่างที่ประธานาธิบดีบุชเข้าใจเกี่ยวกับสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของเขา...มันคือความเข้าใจ "ผิด"
ตามข้อมูลที่ได้จากอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนเกือบหนึ่งโหล ซึ่งล้วนเป็นแนวหน้าในหน่วยงานด้านต่อต้านการก่อการร้ายในสมัยของบุชทั้งสิ้น ประธานาธิบดีบุชไม่เพียงต่อสู้ผิดสงคราม แต่ยังต่อสู้ในแนวทางที่ทำให้ภัยคุกคามเลวร้ายมากขึ้นด้วย พวกเขาบอกว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายได้รับการจัดการที่ผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่มต้น และไม่ใช่ผิดในส่วนเล็กน้อยอีกต่างหาก ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากประธานาธิบดีบุช ไม่มีความเข้าใจธรรมชาติของศัตรูที่เขากำลังต่อสู้ด้วย
"ผมล่ะเกลียดจริงๆ คำว่า...สงครามต่อต้านการก่อการร้ายโลก (global war on terrorism)" จอห์น โอ เบรนแนน (John O. Brennan) กล่าว เขาเป็นอดีตซีไอเอผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงนี้มานาน เคยรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของ
เบรนแนนไม่ใช่คนเดียว ในการสำรวจความคิดเห็นเมื่อฤดูร้อนนี้ ซึ่งทำกับผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศกว่า 100 คน รวมอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้อำนวยการซีไอเอ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน เมื่อถูกถามว่า ประธานาธิบดีบุชกำลัง "ชนะสงครามต่อต้านการก่อการร้าย" ใช่หรือไม่ 84 เปอร์เซนต์ตอบว่าไม่
5 ปีหลังเหตุการณ์โจมตี 11 กันยายน คณะผู้บริหารของบุชล้มเหลวที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์จริงของการก่อการร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ถ้าต้องการให้อเมริกามีความสามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีในอนาคตได้ ประธานาธิบดีบุชจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ 5 บทเรียนต่อไปนี้
1. อัล-ไคดา ในฐานะภัยคุกคาม ถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว
แม้ว่าคณะผู้บริหารจะยังคงใช้มุขอัล-ไคดามาเขย่าขวัญคนอเมริกันไม่หยุดหย่อน แต่ในความเป็นจริง อาจกล่าวได้ว่า องค์กรที่โจมตีอเมริกาเมื่อ 9/11 นี้ ได้ถูกลบทิ้งไปแล้ว แม้ว่า โอซามา บิน ลาเดน และชาวคณะอัล-ไคดาผู้มีประวัติโชกโชนกลุ่มหนึ่ง จะยังคงลอยนวลอยู่ก็ตาม แต่ขุมกำลังที่โจมตีนิวยอร์คและวอชิงตันก็ได้ถูกกวาดล้าง ถอนรากถอนโคนอย่างได้ผลไปแล้ว "โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าอัล-ไคดา จะยังเป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็งอะไรอีกแล้ว" เวน ไวท์ (Wayne White) อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงในกระทรวงต่างประเทศกล่าว เขาเพิ่งลาออกจากการทำงานให้คณะผู้บริหารบุชเมื่อปีที่แล้ว
การกวาดล้างอัล-ไคดาอย่างเป็นระบบเริ่มต้นขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์ 9/11 ตอนที่เข้าไปในอัฟกานิสถานตุลาคม 2001 ซีไอเอมีความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กร ที่ตั้ง และความแข็งแกร่งของอัล-ไคดาอยู่พอประมาณ "เรามีความรู้พอสมควรว่ามีใครบ้างอยู่ที่นั่น" อดีตซีไอเอรายหนึ่งที่ไม่ต้องการให้เปิดเผยชื่อกล่าว "เราไม่ได้หลับอยู่นะ เรามีลิสต์รายชื่อคนของอัล-ไคดาว่าใครเข้าไปที่นั่นบ้าง รวมทั้งรายชื่อของคนที่ผ่านค่ายฝึกของอัล-ไคดาตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย"
ข่าวกรองของซีไอเอตอนนั้น บ่งชี้ว่า มีอัล-ไคดาอยู่ประมาณ 5,000 ในอัฟกานิสถาน ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง สมาชิกอัล-ไคดาจำนวนมาก - บางทีอาจจะเป็นส่วนใหญ่เลยก็ได้ - ถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีด้วยระเบิดไปแล้ว "เราประสบความสำเร็จอย่างมากจากการโจมตีทางอากาศ" อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของซีไอเอรายหนึ่งกล่าว "เราเข้าไปพร้อมกับ B-52 และ F-16 ที่ โทราโบรา (Tora Bora) เราทิ้งระเบิดขนาด 15,000 ปอนด์ใส่พวกมัน เราระเบิดมันซะกระจุยเป็นชิ้นๆ เลย งานนั้น ถ้าใครอยากจะนับศพ คงต้องใช้ Q-Tips (คอตตอนบัด) อย่างเดียว เอาไว้เขี่ยชิ้นส่วนเล็กๆ พวกนั้นมานับ"
กว่าสองปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ที่ซีไอเอถูกบังคับให้ทำงานภายใต้คำบัญชาของเพนตากอน (หมายถึงรัมสเฟลด์และพรรคพวก ไม่ใช่ทหารอาชีพ - ผู้แปล) (2) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานจำนวนไม่น้อยได้ถูกไล่ออกหรือไม่ก็ลาออกไปด้วยความสะอิดสะเอียน ยิ่งกว่านั้น โรลลิงสโตนยังได้รู้มาว่า กระทรวงกลาโหมได้ปิดกั้นความพยายามของสำนักงานซีไอเอที่จะทำรายงานการวิเคราะห์ชนิดที่เรียกกันว่า National Intelligence Estimate (NIE) ซึ่งจะเป็นบทวิเคราะห์ชนิด "ลับสุดยอด" ฉบับทางการ ที่วิเคราะห์ภัยคุกคามจากอัล-ไคดา และอิสลามมิสต์ที่นิยมความรุนแรงกลุ่มอื่นๆ - 5 ปีหลังการโจมตี 11 กันยายน คณะผู้บริหารบุชยังไม่มีรายงานวิเคราะห์ที่มีเอกภาพและทันเหตุการณ์ เพื่อบอกให้พวกเขารู้ว่าศัตรูคือใคร และวิธีการต่อสู้ที่ดีที่สุดคือวิธีไหน
"ตอนที่ผมออกมาจากซีไอเอในเดือนพฤศจิกายน 2004 พวกนั้นยังไม่ได้ทำ NIE สักฉบับเกี่ยวกับอัล-ไคดา" ชูเออร์พูด เขาเป็นผู้นำหน่วยอัล-ไคดาในซีไอเออยู่เกือบหนึ่งทศวรรษ "จริงๆ แล้ว มันไม่เคยมี NIE ในเรื่องนี้เลยต่างหาก ตั้งแต่ยุค 90 มาแล้ว" ปัจจุบันขั้นตอนที่จะทำ NIE ยังติดหล่ม ไม่คืบหน้า อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานข่าวกรองด้วยกัน แรงต้านหลักๆ และหนักๆ เลยมาจากเพนตากอน ซึ่งกลัวว่ารายงานนี้จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ "ลดทอน" อำนาจและบทบาทนำของมันในการต่อต้านการก่อการร้าย ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า คณะผู้บริหารบุชจึงยังไม่รู้อะไรจริงสักอย่าง เกี่ยวกับธรรมชาติของศัตรูที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ และในเมื่อไม่รู้ ก็เป็นอันว่ายากที่จะกำหนดแผนยุทธศาสตร์อะไรมารับมือกับศัตรูของเขาอย่างมีประสิทธิภาพได้
5. การก่อการร้ายไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ - ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน
การก่อการร้ายไม่ใช่ศัตรู แต่เป็น "วิธีการ" เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเอาชนะได้ - ทำได้แค่คอยจำกัดควบคุมเอาไว้ หรือลดจำนวนลงเท่านั้น และต่อให้วันนี้ อเมริกาสามารถกวาดล้างเซลก่อการร้ายทุกเซลให้สิ้นซากไปจากโลกนี้ได้ด้วยซ้ำ พรุ่งนี้การก่อการร้ายก็จะกลับมาใหม่ เพราะความทุกข์ใจ-คับข้องใจใหม่ๆ เสียงเรียกร้องให้แก้แค้นใหม่ๆ จะยังคงผลิตผู้ก่อการร้ายหน้าใหม่ ขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้น ยังคงมีกลุ่มต่อต้านติดอาวุธที่ใช้วิธีการก่อการร้ายในความขัดแย้งทั่วโลกเกิดขึ้นเสมอ จากฮามาสในปาเลสไตน์ เฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน ไปจนถึงกลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ในแคชเมียร์ เชชเนีย ศรีลังกา สเปน โคลัมเบีย ฟิลิปปินส์ และคองโก
ในระยะสั้น ตำรวจและสายลับจะยังคงทำหน้าที่ให้ดีที่สุดได้ด้วยการเฝ้าระวัง จับตา ภัยคุกคามการก่อการร้ายขณะที่มันก่อตัวขึ้นมา และพวกเขาก็อาจประสบความสำเร็จในการยับยั้งมันได้บ้างในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างก็ยอมรับว่า การขัดขวางพล็อตก่อการร้ายก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยโชคช่วยอย่างแรง เอาเข้าจริงแล้ว ลงท้าย คนที่คิดจะก่อการร้ายย่อมเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเสมอ "การจับได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องยาก" พิลลาร์ อดีตหัวหน้านักวิเคราะห์ตะวันออกกลางกล่าว "มันเป็นเรื่องน่ายินดีแน่ๆ น่ายินดีเป็นที่สุด แต่ว่าเกิดขึ้นยาก แล้วอย่าได้คิดเชียวนะว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาการข่าวให้ดีขึ้น แล้วจะต้องนำไปสู่การป้องกันแบบนั้นได้มากขึ้น"
แทนที่จะทำสงคราม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สิ่งที่อเมริกาควรจะต้องทำ คือการทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานข่าวกรองของประเทศอื่นๆ ต่างหาก เพราะหน่วยข่าวกรองของประเทศเหล่านั้น ย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ดีและอเมริกาก็จะสามารถจัดการกับผู้ก่อการร้ายเป็นรายๆ ไป "ความก้าวหน้าในที่นี้ วัดเอาจากการกำจัดผู้ก่อการร้ายลงทีละคน ทีละเซล" พิลลาร์กล่าวว่า "เรายังจะถูกโจมตี แต่มันจะมีโอกาสที่ว่า ความถี่ในการโจมตีจะลดลง และขนาดของความเสียหายจะน้อยลง" ผลลัพธ์เหล่านี้...ฟังดูแล้วอาจจะยังไม่น่าพอใจเท่าไหร่ นั่นก็เพราะวิธีการนี้ ให้นิยามคำว่า "ชัยชนะ" ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายไว้ว่า : สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ก็คือ การทำให้ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายลดลงเป็นแค่...การสร้างความรำคาญในขั้นน่าเกลียดนิดหน่อย
ในระยะยาวกว่านั้น สำหรับแต่ละวันที่ผ่านไป นโยบายที่เน้นการใช้กำลังแก้ปัญหาของอเมริกาในการเกี่ยวข้องกับอิรัก อัฟกานิสถาน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ กำลังผลิตผู้ก่อการร้ายรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยนโยบายนี้เอง ประธานาธิบดีบุชกำลังแพร่เชื้อไวรัส ไม่ใช่จำกัดหรือกักกันมันเอาไว้ สงครามในอิรักได้ radicalize มุสลิมทั่วโลก หรือผลักดันให้มุสลิมทั่วโลกไปในแนวทางสุดขั้วมากขึ้น ไม่ต้องการประนีประนอมมากขึ้น และมันทำให้พวกเขาตีความการบุกรุกอิรักว่าเป็นการโจมตีอิสลามไปแล้ว
"ประธานาธิบดีบอกว่า อิรักคือแนวรบที่เป็นหัวใจสำคัญในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย แต่ที่อิรักกลายเป็นอย่างนั้น เพราะเราทำให้มันเป็นต่างหาก" วิลเกอร์ซันพูด "โอซามา บิน ลาเดน อาจจะกำลังหัวเราะชอบใจอยู่ในถ้ำก็ได้ เราอุตส่าห์เอาสิ่งเหล่านี้ใส่จานเปลเสิร์ฟให้เขาอย่างดี พร้อมมีดและส้อม"
และสุดท้าย ก็มาถึงบทเรียนสำคัญที่สุดกว่าทุกๆ บทเรียน ที่เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้จากแคมเปญต่อต้านการก่อการร้ายที่กล่าวมาทั้งหมด นั่นก็คือ ความโกรธแค้นเกลียดชังอย่างที่ประธานาธิบดีบุชได้สุมไฟและโหมกระพือมาตลอด ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำงานของตำรวจ สายลับ หรือกองทัพ วิธีเดียวที่จะแก้ได้ก็คือ การมีจุดยืนที่ประสานสอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศอื่นๆ ในโลก จุดยืนที่มุ่งสร้างมิตรสหาย มิตรภาพ ไม่ใช่ส่งเสริมความเกลียดชัง
"เราต้องการนโยบายต่างประเทศที่มันดูดีมีสติกว่านี้" เบรนแนน อดีตหัวหน้าศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายกล่าว "และนั่นหมายถึงว่า มันจะต้องใช้ช่องทางทางการทูตเข้ามาแก้ปัญหา - จะด้วยวิธีการอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คิดแต่จะฆ่าคน" o
.
(2) ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ ข้างหน้า เราอาจจะนำประเด็น "การเมืองเรื่องข่าวกรองอเมริกา" มาพูดคุยในพื้นที่นี้ค่ะ โดยเฉพาะในส่วนของเชนีย์/รัมสเฟลด์/เพนตากอน โดยจะว่ากันตั้งแต่ยุคบุช 1 และสงครามอิรักเป็นต้นมา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)