ประชาไท - 15 มี.ค.48 บรรยากาศการแถลงข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ค่อนข้างมีสีสันเป็นพิเศษ เนื่องจากพล.ต.อ.เฉลิมเดช ชมพูนุท โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ปฏิบัติหน้าที่ในวันแรก และฉายเดี่ยวแถลงข่าวเพียงคนเดียว

โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ พล.ต.อ.เฉลิมเดช ได้กล่าวสรุปเรื่องในที่ประชุมเพียงสั้นๆ และเปิดให้นักข่าวซักถามตามปกติ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ระดมตั้งคำถามไปยังโฆษกฯ มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมันและการแก้ปัญหาภัยแล้ง

พล.ต.อ.เฉลิมเดช ยืนยันว่า ยังไม่มีการหารือรายละเอียดเรื่องการลอยตัวราคาน้ำมันในที่ประชุม แต่นายกฯ ได้มอบหมายให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุปและนำมาเสนอให้เร็วที่สุด

ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้งนั้นนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวง กลาโหม และกระทรวงมหาดไทยในการทำฝนหลวง แต่รายละเอียดนั้น ตนก็ไม่ทราบเช่นกัน เพราะเป็นช่วงลุกออกไปข้างนอกไม่ได้นั่งฟังตลอด

คำตอบของโฆษกฯ คนใหม่สร้างรอยยิ้มและยังความประหลาดใจให้กับบรรดาผู้สื่อข่าว จนบางสำนักข่าวต้องแซวกลับไปว่า "ขนาดท่านโฆษกยังไม่รู้ แล้วจะให้ผมเขียนรายงานข่าวถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร"

อย่างไรก็ตาม โฆษกฯ คนใหม่ก็นึกได้อย่างกะทันหันว่า ครม.ได้ให้กระทรวงเกษตรฯ ประสานไปยังกระทรวงกลาโหมเพื่อขอเครื่องบินขนาดใหญ่บรรทุกสารเคมีจำนวนมากไปทำฝนหลวงให้ทั่วถึงเพราะเครื่องบินของกระทรวงเกษตรฯมีแต่เครื่องบินขนาดเล็กทำให้ทำฝนเทียมมาได้ผลเท่าที่ควร

พร้อมกันนั้นได้ชี้แจงความขลุกขลักในวันนี้ว่า เป็นเพราะปฏิบัติภารกิจเป็นวันแรก โดยไม่มีรองโฆษกฯ มาช่วยงาน เพราะต่างก็ยังไม่รู้ว่าได้รับตำแหน่ง จึงต้องมีการประสานงานกันในภายหลัง

กระนั้นก็ตาม แม้พล.ต.อ.เฉลิมเดช จะตอบข้อซักถามแล้ว แต่ผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ออกจากห้องแถลงข่าว และเข้าไปซักถามและทำความรู้จักกับโฆษกใหม่ต่อไปเป็นเวลานานเป็นพิเศษ รวมทั้งรุมซักถามถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาในวันนี้ 23-25 มี.ค. นี้ จนพล.ต.อ.เฉลิมเดช ต้องจำยอมขึ้นเวทีอีกครั้งตามคำโน้มน้าว แม้จะกล่าวปฏิเสธบรรดานักข่าวไปแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ในช่วงท้ายของการแถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ตามที่สภาพัฒน์ฯ เสนอนั้นโฆษกฯ คนใหม่ยังได้สร้างรอยยิ้มมุมปากให้ผู้สื่อข่าวอีกครั้ง เมื่อพูดถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่จะเน้นความร่วมมือแบบ "พยุหภาคี" แทนที่จะเป็นพหุภาคีอย่างที่เข้าใจกัน