"เมื่อฟังบรรยายไปด้วยชมไร่นาและเห็นสเตทฟาร์มแล้วผมคิดว่าเกษตรกรรมแบบธรรมชาติย่อมสวยงามกว่าการเกษตรกรรมผลิตเพื่อการตลาดอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าสเตทฟาร์มนี้จะมีความสวยงามมีการออกแบบให้ดูเป็นธรรมชาติในการดูแลอย่างเป็นระบบระเบียบเรียบร้อย
แต่ว่าการผลิตและเทคโนโลยีที่เข้ามาใช้อย่างไม่เป็นธรรมชาติเพื่อการตลาดอาจจะทำให้เวียดนามเสื่อมลงก็ได้ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียวทางออกของเกษตรกรรมและอารยธรรมมนุษย์ที่เขียนโดย มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ หนังสือนี้พูดถึงการไม่ใช้สายเคมีกำจัดศัตรูพืช เทคโนโลยี ปุ๋ยเร่งให้ข้าวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และคิดถึงวิถีชีวิตประเพณีชาวนาและเกษตรกรรม
ผมกำลังคิดว่าประเทศเวียดนามกำลังเริ่มพัฒนาเกษตรกรรมผิดธรรมชาติ และได้ทำลายวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของเกษตรกรรมเวียดนามเช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งการพัฒนาเกษตรของเวียดนามด้านส่งออกข้าวอยู่อันดับสามของโลกในปัจจุบัน ผมเก็บความคิดและปัญหาไว้ในใจขึ้นรถตู้ออกเดินทางเพื่อจะไปฮาเตีย" (จาก สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแหล่งวัฒนธรรมเวียดนามใต้ โดย อรรคพล สาตุ้ม, http://www.mekongcenter.net/vietnamboy.htm)
ทุกวันนี้สิ่งที่กำลังเติบโตแบบพรวดพราดและได้รับความสนใจมาก คือ ภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยบายและโครงการต่างๆ มาอุ้มชูดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับบรรดาเกษตรที่ยังต้องพึ่งพาฟ้าฝนดลบันดาลแล้ว กลับไม่เคยให้ความช่วยเหลือและพัฒนาด้วยความจริงจัง จนพวกเขาบางกลุ่มไม่คิดจะรอนโยบายจากภาครัฐอีกต่อไป
ทั้งนี้ รัฐยังโยนความเจ็บป่วยมาสู่ชาวไร่ชาวนา จากการบังคับให้ใช้สารเคมีแอบแฝงอยู่ในระบบเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และสหกรณ์สำหรับเกษตรกรต่างๆ อีกด้วย อย่างที่ นายวิสันต์ ทองเต่ามก ประธานกลุ่มผักปลอดสารพิษ แกนนำเกษตรธรรม ชาติ จ.พิจิตร บอกว่า รัฐส่งเสริมให้ใช้สารเคมีแบบแอบแฝง โดยผ่านทาง ธกส. เกษตรกรที่กู้เงินไปต้องแบ่งส่วนไปซื้อปุ๋ยยาสารเคมี
"กระบวนการสู่ความสำเร็จต้องเริ่มที่ตัวบุคคลที่จะเลือกไม่ใช้สารเคมี ชาวบ้านเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อสู้ ตอนนี้ก็ต้องช่วยตัวเองอย่างเดียวจะหวังพึ่งภาครัฐไม่ได้ ซึ่งถ้าจะแก้เรื่องการใช้สารเคมีก็เป็นเรื่องยากเพราะเกษตรกรคนเดียวไปไม่รอดแน่ ตอนนี้พวกเรากำลังสร้างเครือข่ายเกษตรธรรมชาติซึ่งก็ไม่ง่ายนัก จะขับเคลื่อนไปคนเดียวก็ถูกกระแสกลืนหมด" นายวิสันต์ เริ่มเล่าเรื่อง
นายวิสันต์ ย้อนเล่าอดีตที่ผ่านมาว่า "ผมเคยน็อคสารเคมีจนเป็นอันตรายกับตนเองมามากแล้ว พอดีมาหาทางออกว่าจะลดใช้สารเคมีได้อย่างไร ก็ไม่รู้จะเอาอะไรทดแทนเพราะผมเคยถูกปลูกฝังให้ใช้สารเคมีมาโดยตลอด ก็ลองเข้ามาร่วมกับเกษตรธรรมชาติปรากฏว่าใช้แล้วดี แต่คนที่ถูกปุ๋ยยาโฆษณากรอกหูอยู่เขาก็ยังไม่รู้ ก็ยังไม่เชื่อเกษตรแนวทางใหม่เลย เพราะเขาถูกป้อนข้อมูลกันทุกวัน ผมอยากให้บริษัทยาต่างๆ พยายามหยุดหรือลดโฆษณาลงบ้างจะได้ไหม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าจะลดลงไปจากเดิมเลย"
ยิ่งไปกว่านั้น ประธานกลุ่มผักปลอดสารพิษ จ.พิจิตร ยังกล่าวต่อไปว่า "ยากที่สื่อจะปรับเปลี่ยนได้ แต่ต้องทำให้เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างจริงถึงจะเปลี่ยนแปลงความคิดการใช้สารเคมีได้ และยังเป็นเรื่องง่ายถ้าผู้ใหญ่จะลงมาพูดกับชาวบ้านเอง ซึ่งตอนนี้เราพูดกันเองก็ไม่เป็นผล คงต้องรอให้พวกเราเป็นรัฐมนตรีกันเองถึงจะแก้ไขได้"
จากปัญหาที่รุมบีบหรือกัดทึ้งชาวไร่ชาวนาตาดำๆ มานานปี คงถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกระโดดออกจาก
กรงขังนั้นแล้ว แต่พลังของเขายังน้อยนัก ขณะที่กำลังเริ่มช่วยกันจุดกระแสในหน่วยเล็กๆ ของสังคม ด้วยการก่อร่างสร้างเครือข่ายในลักษณะร่วมด้วยช่วยกันเองของเกษตรแนวธรรมชาติไม่พึ่งสารเคมี
ทางเลือก...สู่สำนักเกษตรกรธรรมชาติ
"ผมเป็นหนี้ลดลง เพราะเราพยายามลดต้นทุนทุกอย่าง ถ้าลดสารเคมีลงได้ก็จะกลายเป็นส่วนของกำไร ซึ่งเราจำเป็นต้องทำงานและถอดบทเรียนร่วมกัน เพราะเราต่างก็เป็นทุกข์ด้วยปัญหาหนี้สิน ผมเริ่มทำเกษตรแบบธรรมชาติเมื่อปี 2546 โดยเข้าร่วมอบรมกับ วปอ.(ภาคประชาชน) หรือวิทยากรการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและการพึ่งพากันเอง" นายวิสันต์ เล่าต่อ
ทั้งนี้ ต้องจูงใจคนอื่นด้วยการสร้างตัวเองเป็นแบบอย่าง โดยในเครือข่ายทั้งหมดจะนำคนที่ทำสำเร็จจริงเป็นแบบอย่างจึงจะดีที่สุด เราต้องเริ่มที่ปัจเจกแล้วคนอื่นจึงจะเริ่มเห็น ตอนนี้คนมีที่ดินเป็น100 ไร่ ก็เริ่มมีเข้าร่วมแต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย เพราะที่ดินเขาเยอะเขาก็จะทำเกษตรเชิงเดี่ยวได้ ตอนนี้ส่วนใหญ่เรื่องเกษตรธรรมชาติเป็นเรื่องของแนวคิดทั้งหมด จะหวังพึ่งกิจกรรมอย่างเดียวคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้แน่ จึงต้องปรับแนวคิดเกษตรกรให้ได้โดยผ่านการอบรมของ วปอ.
นายวิสันต์ เล่าถึงกิจกรรมที่ทางกลุ่มผักปลอดสารพิษที่ตนเป็นประธานอยู่ว่า ทางกลุ่มจะไปดูว่าที่ไหนมีการปลูกผักบ้าง โดยคิดว่าทำอย่างไรจึงจะขยายออกทั้งเรื่องการผลิตและการตลาด ตอนนี้เราเชื่อมไปยังชมรมออกกำลังกายซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องตลาด และยังวางแผนว่าต้องครอบคลุมให้ทั่วทั้งจังหวัด ซึ่งทุกวันนี้ตลาดต้องการผักปลอดสารพิษเป็นจำนวนมาก จึงต้องมาคิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้ผลิตได้พอ
"เราเชื่อมผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลที่สนใจด้านสุขภาพ เช่นช่วงที่เขาเต้นแอโรบิคเราก็เอาไปวางขายที่ลาน เราเชื่อมอาหารปลอดสารพิษโดยจับมือกับภาคประชาชน ภายใต้นโยบายคนไทยแข็งแรงของรัฐบาล ขณะนี้คนเข้ามาสนใจเพิ่มมากขึ้นต้องการตาม กลุ่มของเรากำลังเดินเรื่อยๆ ช้าๆ เพราะยังมีส่วนที่ยังต่อต้านอยู่" แกนนำเกษตรธรรมชาติ จ.พิจิตร บอกกล่าว
นายวิสันต์ แสดงความเชื่อมั่นว่าอนาคตคงไปได้สวยและกระแสนี้ก็คงไม่ถูกกลบไป ถ้ารัฐบาลสนับสนุนและทุกอย่างร่วมกันก็จะดีมาก ซึ่งช่วงแรกๆ เกษตรกรต่างไม่มีแรงคิดที่จะเปลี่ยน ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐ
ประธานกลุ่มผักปลอดสารพิษ กล่าวต่อไปว่า "ถ้ารัฐยังใช้มาตรการไปตรวจสารตกค้างผักที่ตลาดไท จะสำเร็จไหม ผมว่าไม่ 100 ปีก็ไม่สำเร็จ แค่นี้ผมก็คิดได้ว่าต้องมาตรวจที่ชาวบ้านนี่ มาเปลี่ยนแนวคิดของเขา ว่าสารเคมีเป็นอันตรายและจะเปลี่ยนได้อย่างไร โดยเป้าหมายก็คือไม่มีสารเคมีในเลือด ตอนนี้ผมก็หายแล้วแถมยังมีเงินใช้หนี้ได้ เท่านี้ชีวิตก็มีความสุขแล้วครับ
ทางออก...สุขภาพดีที่ไร่นา
ลำพังเกษตรกรเพียงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยหรือจะมีพลังไปต่อกรกับนายทุนใหญ่และสื่ออีกสารพัด นับเป็นที่น่าดีใจที่บุคคลของส่วนราชการก็ดี องค์กรภาคประชาชนก็ดี ได้เริ่มหันมาดูแลและให้ความสำคัญโดยลงมาพัฒนาตั้งแต่ระดับไร่นาด้วยตนเอง
เช่นเดียวกับนายสุรเดช เดชคุ้มวงศ์ นักวิชาการสาธารณสุข จ.พิจิตร ที่มุ่งไปยัง ประชาสังคม ท้องถิ่น โดยดึงเอาภูมิปัญญาและเกษตรกรมาใช้ในหลักสูตรโรงเรียนเกษตรกร เพื่อเสริมสร้างให้สุขภาพชาวบ้านเริ่มฟื้นคืนมา
นายสุรเดช กล่าวว่า "ถ้าคนปลูกปลอดภัยแล้ว ผมก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นได้ และตอนนี้หลายคนก็ปลดหนี้และลดหนี้ได้แล้ว ภายในปีนี้น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น โดยเราจะออกช่วยเหลือตามองค์กรชาวบ้าน โดยการช่วยจัดกระบวนการเรียนรู้และถอดองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้แก่ชาวบ้าน และส่วนที่เล็กที่สุดก็คือสถานีอนามัยนั่นเอง"
ขณะที่ น.พ.สมพงษ์ ยูงทอง จาก จ.นครสวรรค์ หมอที่สนใจการจัดการความรู้ของชาวบ้านอีกผู้หนึ่ง เห็นว่า "เราใช้ภูมิปัญญาถ่ายทอดความรู้ในกลุ่ม มีการเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาจากเดิมก่อน และยังผลักดันทางวิทยุชุมชนเพื่อเป็นยุทธศาสตร์การกรอกหูให้มากที่สุด ซึ่งเราใช้การเรียนรู้ร่วมกันโดยการสร้างพันธมิตรและการไปเรียนรู้จากเครือข่ายอื่นๆ"
น.พ.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า เรามีการตรวจสอบความรู้ใหม่อยู่เสมอ โดยทุกคนต้องเป็นทั้งครูและนักเรียนในคราวเดียวกัน มาช่วยกันหมุนเกลียวความรู้ของกลุ่มให้ฉลาดขึ้น เปลี่ยนกระบวนทัศน์ต่างๆ ให้เข้าสู่ชุมชนนักปฏิบัติให้ได้
"เราต้องเอาคนเก่งเข้ามาก่อนเพราะความสร้างสรรค์และความอิสระเป็นสิ่งสำคัญ โดยการสร้างวิสัยทัศน์ที่ไม่ไกลเกินไปแล้วจะต้องไปให้ถึงได้ไม่ยาก" นพ.สมพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้แนวคิดของหมอ ยังมองไปถึงการตั้งโรงงานปุ๋ยชุมชนและยังพยายามเชื่อมโยงกับธุรกิจท้องถิ่น ทั้งยังอาศัยการเมืองท้องถิ่นซึ่งมีกองทุนให้ชาวบ้านได้กู้ยืมอีกด้วย
ร่วมทางเดียวกัน
ในที่สุดเมื่อหลายเส้นทางที่เดินมานานได้มีจุดร่วม โดยชาวไร่ชาวนาเริ่มเห็นพ้องต้องกันแล้ว และพร้อมจับมือร่วมเดินทางไปด้วยกัน โดยใช้ทุนทางสังคมที่มีอยู่เป็นฐานรากอันสำคัญต่อการพัฒนานำองค์ความรู้ไปใช้ได้อย่างยั่งยืน นับเป็นมิติใหม่ของเกษตรกรไทยในยุคนี้
อย่างไรก็ตาม นพ.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ปุ๋ยมีราคาแพงมากคนจึงเริ่มสนใจแนวเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ซึ่งถ้าชุมชนมีต้นทุนทางสังคมที่ดี อาทิ มีความสามัคคี มีผู้นำที่ดี มีสังคมที่เอื้ออาทรกัน ก็จะทำให้พวกเขาเรียนรู้ไปได้เร็วและรวมกลุ่มกันพัฒนาได้เป็นอย่างดี
"ถ้าผู้นำไม่ดี ชาวบ้านอยู่แบบตัวใครตัวมันก็จะมีปัญหา ทำให้รวมตัวกันไม่สำเร็จ ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาร่วมเกษตรธรรมชาติมากขึ้น จากที่ปีก่อนๆ ชาวบ้านยังสบายอยู่ แต่ตอนนี้ปุ๋ยราคาแพงมาก ก็ต้องค่อยๆ ลดเลิกไป" น.พ.สมพงษ์ แสดงทัศนะ
ทั้งนี้ กระบวนการเปลี่ยนแปลงความรู้ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติคน เมื่อไรก็ตามที่มีความตั้งใจ และมีคนเข้าไปแลกเปลี่ยนสร้างจิตสำนึกอยู่เสมอๆ ก็จะเท่ากับการปลูกค่านิยมที่ต้องผ่านการผลักดัน เรียนรู้ เชื่อมโยงภูมิปัญญาระหว่างกัน
"เราต้องสร้างกรอบให้ตัวเอง เหมือนสร้างกรอบให้กระจกบานเล็กๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงแก่ตนเองระดับหนึ่ง ซึ่งหัวใจก็คือความเข้มเข็งของท้องถิ่น พยายามทำสิ่งที่เอื้อประโยชน์แก่เราและนำปัญญาของท้องถิ่นมาใช้ โดยเราต้องมีความอิสระยืดหยุ่นและคล่องตัวอย่างรอบด้าน รวมทั้งคำนึงถึงความหลากหลายของผู้คนด้วย" นพ.สมพงษ์ กล่าวอย่างมั่นใจ
นพ.สมพงษ์ กล่าวในตอนท้ายว่า "ชาวบ้านบอกผมว่าพอฝนตกเริ่มได้ยินเสียงกบเขียดร้องแข่งกันแล้ว ซึ่งเป็นการที่ชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเป็นเพราะปัจจัยต่างๆ ที่นำมาทำการเกษตรมันเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ ตอนนี้ก็เริ่มมีปลาในนาบ้างแล้ว ชาวบ้านก็ดีใจ"
ณ พงหญ้าข้างทาง...เสียงกบเขียดในท้องนาเริ่มดังระงมอีกครั้งหลังฝนตก ดังชีวิตที่ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง แต่พวกมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถูกจับไปเมื่อไร ตราบใดที่ชีวิตของมันยังอยู่ในกำมือของนักล่า และยังไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวมันเองได้เสียทีเดียว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)