เชิงเขาภายในหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 5 ที่ตั้งหน่วยทหารเล็กแห่งหนึ่งในวันนี้ดูเงียบเหงา พลทหาร 2 คนเดินเกร่ด้วยสีหน้าที่ฉาบไว้ด้วยความเศร้า เพราะพวกเขาเพิ่งเสียผู้บังคับบัญชาของหน่วยไปพร้อมกันถึง 2 คน จากเหตุการณ์จับทหารเป็นตัวประกันที่บ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
ภายในที่ตั้งหน่วยทหารแห่งนี้ ไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวาง มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนกับค่ายทหารทั่วๆ ไป เพราะเป็นเพียงศูนย์ฝึกอบรมและเผยแพร่เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ ของโครงการจุฬาภรณ์
อาคารไม้เล็กๆ ด้านหน้า เป็นทั้งสถานที่ประชุมวางแผนงาน และห้องพักผ่อน ส่วนด้านหลังเป็นเรือนเพาะชำ ซึ่งมีทั้งกล้วยไม้ และดอกหน้าวัว
"ศูนย์นี้เปิดมาตั้งแต่ปี
"หน้าที่หลักของเราคือดูแลเรือนเพาะชำกล้วยไม้ และมีภารกิจเสริมอื่นๆ ตามแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งการมา"
เมื่อถามถึง เรือตรีวินัย นาคะบุตร และ พันจ่าเอกคำธร ทองเอียด ซึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เขาตอบว่า ทั้งคู่ทำงานอยู่ในศูนย์แห่งนี้ และเป็นคนนิสัยดี เป็นที่รักใคร่ของลูกน้องทุกคน
"ทั้งคู่นิสัยดีมากๆ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะเรือตรีวินัย เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการของโครงการด้วย ซึ่งก็ต้องทำหน้าที่วางแผนจัดกำลังเข้าเวรตรวจตราเรือนเพาะชำต่างๆ และจัดการภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย"
เขาบอกด้วยว่า ทั้งสองชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นงานหลักของนาวิกโยธินในหมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนาอยู่แล้ว ทำให้ชาวบ้านต่างรู้สึกผูกพันกับทหารที่ศูนย์แห่งนี้
"ในวันเกิดเหตุ ทั้งคู่ก็อยู่ในค่าย พอตกค่ำก็ได้ยินเสียงปืนจากหมู่บ้านใกล้ๆ ก็เลยสอบถามจากคนรู้จัก แล้วก็ขับรถออกไปดู เพื่อไปช่วยชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ที่อาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่รู้ๆ กันอยู่" เสียงของทหารชราขาดห้วงไปเฉยๆ คล้ายพยายามเก็บกดความเศร้า
ไม่ห่างจากค่ายทหารเล็กๆ แห่งนี้ เป็นที่ทำการขององค์การบริหารส่วนตำบล และใกล้ๆ กันเป็นร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน ซึ่งใครๆ ต่างก็แวะเวียนมา
"โอ๊ย..ชาวบ้านรู้จักดี ทั้งสองคนนั่นแหละ" เจ้าของร้านชำซึ่งเป็นชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น
"จ่าคำธรเป็นคนดี เขาเป็นคนสงขลา มาอยู่ที่นี่ตั้งสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่เปิดศูนย์เพาะเลี้ยงฯครั้งแรกเมื่อปี 2535 โน่นแหละ"
"ส่วนเรือตรีวินัย เพิ่งย้ายมาประจำสัก 2 ปี" ภรรยาเจ้าของร้านกล่าวขึ้นบ้าง
"เขาแวะมาที่นี่บ่อย มาครั้งหนึ่งก็ซื้อของทีละมากๆ เหมือนช่วยเราน่ะ แกชอบช่วยเหลือชาวบ้าน คนที่นี่รักแกทั้งนั้น"
จากปากคำของชาวบ้าน ทำให้เราทราบว่าหมู่บ้านนี้ไม่เคยเกิดเหตุร้ายขึ้นเลย ไม่ว่าสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะรุนแรงขนาดไหน ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีหน่วยทหารนาวิกโยธินปักหลักอยู่ในพื้นที่นานนับสิบปี
"พวกทหารก็ออกตรวจตราเรื่อยๆ คอยแวะเวียนมาถาม คนแถวนี้รู้จักกันดี รู้สึกเสียใจมากที่ทั้งคู่ต้องมาจบชีวิตแบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง" ภรรยาเจ้าของร้านชำ กล่าว
"คนดีๆ ไม่น่าจะมาตาย" ชายเจ้าของร้านกล่าวเสริม "ตอนที่มีการยิงกัน เขาหวังดีนะ รถที่ขับออกไปดูก็เป็นรถส่วนตัวของเขาเอง"
ที่ สภ.อ.ระแงะ รถยนต์ส่วนตัวของเรือตรีวินัย พาหนะที่พาเขาและลูกน้องไปยังบ้านตันหยงลิมอก่อนจบชีวิต จอดสงบนิ่งอยู่ในลานจอดรถของโรงพัก
รถเก๋งโตโยต้า โซลูน่า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน กท 972 สงขลา ซึ่งเคยเป็นรถคู่กายนาวิกโยธินหนุ่มใหญ่ อยู่ในสภาพพังยับ มีร่องรอยถูกทุบเกือบทั้งคัน ยางหน้าแบนติดพื้นถนน
ที่น่าสลดใจยิ่งกว่าสภาพรถก็คือร่องรอยขูดขีดที่บริเวณตัวถังด้านซ้าย ซึ่งมีข้อความเป็นภาษาไทยอ่านได้ว่า "ตำรวจฆ่าประชาชน" และด้วยประโยคสั้นๆ ประโยคนี้ น่าจะเป็นการบ้านชิ้นสำคัญของฝ่ายความมั่นคงที่จะต้องลบความหวาดระแวงในพื้นที่อันเป็นต้นตอของโศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ให้จบสิ้นลงเสียที...
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)