ศาลรธน.ปัดคำร้อง ปปช.หวิว 8 ต่อ 7
แนวหน้า22 ต.ค. 2547 ศาลรธน.ลงมติเฉียดฉิว 8 ต่อ 7 ไม่รับคำร้องป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ระบุเป็นแค่คำหารือไม่ได้เป็นปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ วุฒิฯเหน็บซ้ำรู้จักเอาตัวรอด ในขณะที่ป.ป.ช.ระทึกลุ้นศาลฎีกาฯชี้ชะวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนคดีอุ้มซุกหุ้น ทนายจำเลยแฉซ้ำมีบุคคลที่ 3 รู้เห็นให้สินบน เผยมีข้อมูลลับไว้น็อกด้วย
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ ปชช.ในการออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนของประธานและกรรมการป.ป.ช. พ.ศ.2547
มติเฉียดฉิว8ต่อ7ตอกหน้าปปช.
นาย
ทั้งนี้คำร้องของป.ป.ช.ได้ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 301 (6) มาตรา 302 วรรคท้าย ประกอบ พ.ร.บ.ป.ป.ช.มาตรา 5 และมาตรา107 ในการบริหารงานทั่วไป บริหารงานบุคคล การงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน ป.ป.ช.
โดยการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของประธานและกรรมการป.ป.ช. ถือว่าเป็นการบริหารงานและการปฏิบัติหน้าที่ให้กับสำนักงาน ป.ป.ช. ตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ. ป.ป.ช. ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรค 2 กำหนดให้รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้พอเพียงกับการบริหารงานโดยอิสระของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การออกระเบียบในการจ่ายตอบแทนดังกล่าวจึงได้กระทำโดยสุจริตและเชื่อมั่นว่ามีอำนาจกระทำได้ตามกฎหมาย และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงได้มีการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ปปช.แจงเหตุส่งให้ศาลรธน.
แต่ส.ว.และ ส.ส.จำนวนหนึ่งได้เข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อดำเนินคดีต่อประธานและกรรมการ ป.ป.ช.ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา 300 จึงเป็นการโต้แย้งอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าป.ป.ช.มีอำนาจในการออกระเบียบดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับสำนักงาน ป.ป.ช.หรือไม่
ศาลรธน.ชี้เป็นแค่การหารือ
นายไพบูลย์กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อคณะตุลาการมีการพิจารณาคำร้องดังกล่าวแล้วเห็นว่า คณะกรรมการป.ป.ช.เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 301, 302ประกอบกับ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 5 และ 107 แต่ปัญหาการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการออกระเบียบตามคำร้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 หรือไม่
"ดังนั้นจึงเห็นว่าคำร้องดังกล่าวยังไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แต่มีลักษณะเป็นการหารือ จึงไม่รับไว้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266"นายไพบูลย์ ระบุ
เผย"จุมพล"อยู่เสียงข้างมาก
สำหรับตุลาการเสียงข้างมาก 8 คน คือ นายจิระ บุญพจนสุนทร นายจุมพล ณ สงขลานาย
ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย 7 คน คือ นายก
ปปช.อ้างขอศาลฎีกาเลื่อนชี้ชะตา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่รับคำร้องของ ป.ป.ช. ทางด้านพล.ต.ท.
ทั้งนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาการเมือง ได้นัดที่จะแถลงคำวินิจฉัยปัญหาการขึ้นเงินเดือนของป.ป.ช.ในวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคมนี้ หลังจากส.ส.และส.ว. 212 คน ล่ารายชื่อยื่นให้พิจารณาดำเนินการ และหากศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยให้รับคำร้อง จะส่งผลให้ ป.ป.ช.ยุติการทำหน้าที่โดยทันที
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลฎีกาไม่เลื่อนการพิจารณาจะมีปัญหาหรือไม่ พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า ก็อยู่ที่ศาลฎีกาฯ
ยันถ้าเจอแบนชาติเสียหายยับ
"เวลานี้ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย กรรมการป.ป.ช.ชุดนี้ไม่เคยทำอะไรผิด ทุกวันนี้ก็ยังยืนยันว่าที่ทำไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นไม่หนี ที่สำคัญเราไม่ใช่อาชญากรที่จะต้องหนี"กรรมการป.ป.ช. กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าต้องถูกยุติการทำงานจริงๆ ได้เตรียมการรองรับไว้อย่างไร พล.ต.ท.วิเชียรโชติกล่าวว่า ก็ต้องทำตามกฎหมายทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงเลย แต่ยืนยันว่าหากต้องยุติการทำงานจริงชาติจะเสียหายเพราะกระทบกับคดีที่จะหมดอายุความแน่นอน เราถึงได้พยายามเร่งคดีเพื่อให้เรื่องที่จะหมดอายุความรีบออกไปเสียก่อน เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการต่อไป
"ตอนนี้มีคดีที่เกี่ยวกับนักการเมืองด้วยโดยเฉพาะเรื่องการถอดถอน ถ้ากฎหมายบอกให้เราหยุดทำงานก็หยุด แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นก็แล้วแต่ มันคงต้องมีคนรับผิดชอบ ส่วนใครจะรับผิดชอบก็ไม่ทราบช่วยหาให้ที "พล.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าว
เผย9ปปช.วิ่งยื้อกันพล่าน
ขณะเดียวกัน นาย
นายสุภัทร์กล่าวว่า ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้อ้างอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ในการยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลฎีกาแผนกฯ อย่างไรก็ดีในการประชุมองค์คณะในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ตนจะเสนอเรื่องนี้ให้องค์คณะพิจารณา พร้อมกับเรื่องที่ป.ป.ช.ขอให้ศาลฎีกาแผนกฯเลื่อนนัดฟังคำสั่งไป
เหน็บศาลรธน.รู้จักเอาตัวรอด
ขณะที่นาย
ส่วนกรณีป.ป.ช.ยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาแผนกฯ ชะลอคำวินิจฉัยนั้น ส.ว.กำแพงเพชรกล่าวว่าเป็นสิทธิ์ของป.ป.ช.ที่จะทำได้ แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่าป.ป.ช.ร้อนรนจนผิดสังเกต
"บัณฑิต" ขย่มซ้ำมติสีเทาอุ้มซุกหุ้น
ทางด้านความคืบหน้ากรณีปัญหาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.
วันเดียวกันอนุกรรมาธิการศึกษาและพิจารณาการทุจริต วุฒิสภา ที่มีพล.ต.อ.
นาย
แฉมีบุคคลที่3รู้เห็นวิ่งให้สินบน
นอกจากนี้นายบัณฑิตยังได้ระบุอีกว่า ข้อมูลที่ทราบในช่วงที่มีบุคคลเสนอตำแหน่งให้บุตรชายนาย
"อีกทั้งยังมีข้อความอื่นๆ นอกเหนือจากที่เบิกความในศาลและยังมีความพยายามของฝ่ายโจทก์ให้นายอุระ หวังอ้อมกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธ โดยยื่นเป็นหนังสือแต่พอเห็นพยานหลักฐานของฝ่ายนายบัณฑิตที่มีพยานหักล้างก็เลยถอน"นายเจิมศักดิ์ กล่าว
และว่า นายบัณฑิตยังเปิดเผยอีกว่า น้องสาวของผู้ถูกกล่าวหาไปพบนายอุระต่างกรรมต่างเวลา แต่น้องสาวของผู้ถูกกล่าวหาไปกับอีกบุคคลหนึ่ง โดยเอาชื่อของบุคคลที่ถูกล็อบบี้ไปอ้างโดยมีทั้งหมด 4 คน นอกจากนี้นายบัณฑิตยังได้นำเอกสารมาเบิกความในศาลและคำให้การของพยานฝ่ายโจทก์ รวมทั้งสำนวนแถลงปิดคดีมาให้กรรมาธิการด้วย ทำให้เห็นได้ว่านายจุมพลเคยให้การกับตำรวจและในศาลไม่ตรงกัน
ท้าให้ฟ้องอุบ"ข้อมูลลับ"หมัดน็อก
นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า นอกจากนี้กรรมาธิการจะนำข้อมูลและเอกสารทั้งหมดที่นายบัณฑิตมอบให้มาพิจารณาและจะหารือกันอีกครั้งว่าจะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเมื่อใด
"ผมฟังข้อมูลจากนายบัณฑิตแล้วคิดว่า หากมีการฟ้องร้องก็จะเป็นประโยชน์กับสังคมมากเพราะสิ่งที่นายบัณฑิตพูดได้ยืนยันกับกรรมาธิการว่าข้อมูลที่สื่อได้ตีพิมพ์นั้นเป็นความจริงทั้งหมด แต่มีข้อมูลลับบางอย่างที่นายบัณฑิตไม่ยอมบอกกรรมาธิการ"นายเจิมศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้นายบัณฑิตยังได้เปิดเผยอีกว่า ขณะที่ขึ้นศาลตุลาการฯ ไปเบิกความในศาลนั้นมีคนที่ไปเบิกความเพียง 2 คน คือ นายจุมพล และนาย
เครือข่ายปชช.รุมจี้ศาล รธน.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้นพ.
นายวีระกล่าวว่า ขณะนี้สังคมต้องการรู้ความจริงว่า มีการวิ่งเต้น มีการติดสินบนจริงหรือไม่ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ นางเยาวภา นายอุระ และนายจุมพล ยังไม่พูดด้วยการอ้างว่าไม่ต้องการละเมิดศาล ทั้งที่เป็นการชี้แจงความจริงที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะผู้ที่ถูกพาดพิง
นิติ มธ.นัดอาจารย์ถกครั้งใหญ่
ส่วนนาย
"คณะนิติศาสตร์มธ.จะทาบทามไปยังอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ มาร่วมกันปรึกษาหารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อปกป้องระบบการปกครองด้วยกฎหมายเพราะประเทศไทยปกครองในระบบ Rule Of Law ไม่ใช่ Rule Of Man ที่ใช้กฎหมายเพื่อคนคนเดียว""นายกิตติศักดิ์ กล่าว
"ชวน" อัดปปช.ไม่โปร่งใส
ทางด้านนาย
ทั้งนี้ นายชวนยังเรียกร้องให้ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเรียกศรัทธากลับคืนมา พร้อมเชื่อว่า การที่ป.ป.ช.ดำเนินการในช่วงนี้เป็นเพราะแนวทางรัฐบาลชุดปัจจุบันเห็นว่าใครมีบทบาทในการดำเนินการทางการเมืองก็จะดำเนินการ
"ปรีชา" ชี้ตายแล้วยึดทรัพย์ไม่ได้
นาย
และว่า ในกรณีอดีตรัฐมนตรีที่เสียชีวิตไปแล้ว ทาง ปปง.ไม่สามารถไปยึดทรัพย์ได้แม้ว่าป.ป.ช.จะวินิจฉัยความผิดก็ตามเพราะตามหลักกฎหมายทั่วไป ความผิดจะระงับไปพร้อมความตายของบุคคลที่ถูกกล่าวหา เว้นแต่ว่าจะมีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ขณะที่พล.ต.ท.
สุวัจน์ ยืนยันไม่เกี่ยวคลองด่าน
วันเดียวกัน นาย
ศาลรธน.ยืนยันคำวินิจฉัย "จารุวรรณ" พ้น "ผู้ว่าการ"
มติชน 31 ก.ค. 2547 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นาย
สำหรับที่ระบุว่าผลคำวินิจฉัยขาดความชัดเจน และคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติหรือไม่นั้น นายนพดลกล่าวว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญของ คตง.และวุฒิสภาไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 312 และ 313(1) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงิน และระเบียบ คตง.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ว่าการฯ คำวินิจฉัยดังกล่าวถือเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันให้ คตง.และวุฒิสภา ต้องไปดำเนินการให้เป็นไปโดยชอบ ส่วนที่ไม่ได้วินิจฉัยว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งไปเลยหรือไม่ เพราะคำร้องไม่ได้ขอให้วินิจฉัย แต่เมื่อศาลวินิจฉัยว่ากระบวนการได้มาซึ่งผู้ว่าการฯไม่ชอบ ต้องถือว่านางจารุวรรณ ไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับเลือกจาก คตง. และไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาตามกระบวนการมาแต่ต้น ซึ่งไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
ศาลรธน.ชี้ 'จารุวรรณ' พ้น สตง.
ไทยโพสต์ 31 ก.ค.2547 ศาลรัฐธรรมนูญ - ตั้งหลักนานศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งตื่น แถลงยืนยันคำวินิจฉัย การสรรหา "คุณหญิงจารุวรรณ" ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง.ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม คุยลั่น 6 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีคู่กรณีร้องเรียนว่าวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญบกพร่อง
นาย
สำหรับที่ระบุว่า ผลคำวินิจฉัยขาดความชัดเจนว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการอย่างไร มติของวุฒิสภาที่เลือกผู้ว่าการฯ ยังคงอยู่หรือไม่ และคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติหรือไม่นั้น เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของ คตง. และวุฒิสภา ในกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ว่าการฯ มีการใช้อำนาจหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 312 และ 313 (1) ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และระเบียบ คตง.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ว่าการฯ คำวินิจฉัยดังกล่าวถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันให้ คตง. และวุฒิสภา ต้องไปดำเนินการให้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
"ที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยว่าคุณหญิงจารุวรรณ ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเลยหรือไม่ ก็เพราะตามคำร้องของประธานรัฐสภาไม่ได้ขอให้วินิจฉัยประเด็นนี้ แต่เมื่อศาลวินิจฉัยว่า กระบวนการได้มาซึ่งผู้ว่าการฯ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยมีข้อเท็จจริงว่า คุณหญิงจารุวรรณได้รับคะแนนตามมติ คตง. เพียง 3 คะแนน ขณะที่นายประธาน ดาบเพชร ได้รับ 5 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุด จึงต้องถือว่าคุณหญิงจารุวรรณไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับเลือกจาก คตง. และไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาตามกระบวนการมาแต่ต้น ซึ่งไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการฯ ต่อไปได้ นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย" นายนพดลระบุ
ส่วนที่วิจารณ์ว่า ผลคำวินิจฉัยในคำร้องนี้จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้ผู้ว่าการฯ ตกอยู่ในอาณัติของ คตง. ขัดกับหลักความเป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญและหลักการตรวจเงินแผ่นดินสากล เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินบัญญัติไว้แล้วว่า ให้ คตง.เป็นองค์กรสรรหาและคัดเลือกแล้วเสนอวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ขณะที่รัฐธรรมนูญก็กำหนดให้วุฒิสภาเป็นองค์กรถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ จึงถือว่าวุฒิสภามีอำนาจเพียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบบุคคลที่ คตง. มีมติเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดหรือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งหากไม่เห็นชอบตาม พ.ร.บ.ประกอบฯ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มาตรา 31 ก็ระบุชัดว่าให้ คตง.คัดเลือกบุคคลเสนอต่อวุฒิสภาจนกว่าจะได้รับความเห็นชอบ ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่การวางบรรทัดฐานให้ผู้ว่าการฯ จึงไม่ได้อยู่ในอาณัติของ คตง. เพราะหากวุฒิสภาไม่เห็นชอบบุคคลที่ คตง. มีมติเลือก คตง.ก็ต้องไปคัดเลือกบุคคลมาใหม่จนกว่าวุฒิสภาจะเห็นชอบ และไม่ได้ขัดกับหลักความเป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญและหลักการตรวจเงินแผ่นดินสากล
นอกจากนี้ ที่วิจารณ์ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีการปรับปรุงวิธีพิจารณาคดีให้น่าเชื่อถือและเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นนั้น นายนพดลชี้แจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการปรับปรุงข้อกำหนดวิธีพิจารณาคดีโดยมีเนื้อหาสาระที่เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญครบถ้วน ซึ่งตลอด 6 ปีของการปฏิบัติงาน ไม่เคยมีการร้องเรียนจากคู่กรณีหรือผู้เกี่ยวข้องว่า วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่อง และที่ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรอให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เสียก่อนแล้วจึงนำคำวิจารณ์ไปปรับแต่งการเขียนคำวินิจฉัยกลางที่จะออกมาภายหลัง ซึ่งผิดหลักทั่วไปในการทำคำพิพากษานั้น ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการจัดทำคำวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยคำร้องนี้ คณะตุลาการฯ ได้แถลงด้วยวาจาและมีมติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม จากนั้นได้ยกร่างคำวินิจฉัยและมีการลงนามก่อนที่จะจัดส่งให้กับผู้ร้องและผู้เกี่ยวข้องในวันที่ 9 กรกฎาคม ซึ่งการจัดทำวินิจฉัยกลางนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะต้องยกร่างตามมติตุลาการเสียงข้างมาก มีการสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ รวมทั้งความเห็นและเหตุผลของตุลาการแต่ละคนที่ได้แถลงคำวินิจฉัยส่วนตัวไปแล้วตอนก่อนลงมติด้วย
ศาลรธน.ไม่รับคำฟ้องสรรหาปปช.
เดลินิวส์ -4 มิ.ย. 2547 เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นาย
ด้านนายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำ 2 มาตรฐาน เลือกปฏิบัติ เพราะคราวที่แล้วก็กระบวนการสรรหาไม่ชอบ เที่ยวนี้ก็กระบวนการสรรหาอีก คือไปรับคนที่ขาดคุณสมบัติ แต่กลับไม่รับคำร้อง ซึ่งตนก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะพิจารณว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
อนาถศาลรธน.รับอุ้ม'ราชภัฏ'
เว็บไซต์ไทยโพสต์ 5 มี.ค. 254 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากรับ "อุ้มเพื่อชาติ" วินิจฉัยส่งร่าง พ.ร.บ.ราชภัฏคืนสภายันตีความถูกต้อง ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองล่มจมหรือเปิดช่องโกงกิน
"จุมพล" อ้างฝ่ายนิติบัญญัติหมดปัญญาแก้ปัญหา หากไม่โดดร่วมวงเกรงเข้าทางตันอย่างที่ฝ่ายค้านต้องการ ยอมรับตีความโดยไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญรองรับชัดเจน
นาย
"ถ้าเห็นแก่บ้านเมืองก็จะมองเรื่องนี้ไม่มีอะไร เพราะคำร้องนี้ไม่ได้ต้องทำให้ใครหลุดออกจากตำแหน่ง เราต้องการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองให้มันเดินไปได้ไม่ต้องตั้งต้นใหม่ ไม่ใช่มองว่าศาลมีคำวินิจฉัยแล้วจะเกิดการโกงกิน บ้านเมืองจะล่มสลาย เพราะถ้าทุกคนบอกแก้ไม่ได้แล้วมันก็จะถึงทางตันอย่างที่ฝ่ายค้านต้องการ แล้วผมคิดว่าเรื่องอย่างนี้ชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่เกิดอีก กรณีที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นบทเรียนของทั้ง 2 สภาที่ต้องจำไปจนตาย ถ้าเกิดอีกก็ต้องประณามกันว่า มีเงินเดือนกันเยอะแยะแล้วทำไมยังบกพร่องอีก" ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้นี้กล่าว
นายจุมพลยังย้ำว่าปัญหาที่เกิดฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีปัญญาจะทำอะไรอีกแล้ว ซึ่งตนก็อยากให้ประธานรัฐสภาตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไม่ทำแล้วโยนมาให้ศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องแก้ให้เขาไป
"ผมก็คิดอยู่แค่นี้ว่าเขาจนปัญญาแล้วมันก็เท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วผมก็ไม่อยากที่จะพิจารณาเรื่องนี้เลย แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็ไม่อยากให้เอาเรื่องที่แม้จะถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อมันมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกัน จะนำขึ้นไปกราบบังคมทูลฯ มันไม่บังควร เมื่อมาดูรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บัญญัติไว้ ผมก็ต้องหาทางออกจนได้ โดยการเลี่ยงกฎหมาย ผมอ่านแล้วก็อาศัยมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะถือว่ากรณีนี้เป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญแก้ แต่ตุลาการคนอื่นจะไปเอาระเบียบสารบัญมาจับก็เป็นเรื่องของเขา" นายจุมพลกล่าว
ด้านนาย
นายสุจิตกล่าวอีกว่า แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการมีคำวินิจฉัยนี้เป็นการทำผิดหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็อยากให้มองว่ามาตรา 266 เขียนไว้ค่อนข้างกว้าง ระบุแค่ว่าถ้ามีปัญหาอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรก็ให้ศาลวินิจฉัย ซึ่งศาลก็เคยวินิจฉัยมาตรา 266 ไว้ในขอบเขตที่กว้างขวางมาแล้ว ขอยืนยันว่าไม่ได้ทำให้มาตรา 93 ขาดความศักดิ์สิทธิ์หรือถูกล้มล้างไป ซึ่งในคำวินิจฉัยกลางศาลจะตีกรอบในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
"ที่ว่าศาลอุ้มรัฐบาลคงไม่ใช่ เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องไปอุ้ม เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาล แต่เป็นความผิดพลาดในการใช้ถ้อยคำในทางกฎหมาย เมื่อมีปัญหาเราก็ชี้แนะทางออกให้เพราะคิดว่าทางออกมันไม่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับหรือหลักการ แล้วคำวินิจฉัยที่ออกมาก็ไม่ได้มีการตั้งธงไว้ก่อน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นการพิจารณาก็คงใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นการมีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามหลังมาผมก็น้อมรับและพร้อมที่จะรับฟัง และที่มีการใช้คำว่าสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ก็ไม่ถือว่าเป็นถ้อยคำที่รุนแรง เพราะเห็นว่าอยู่ที่ข้อเท็จจริง" นายสุจิตกล่าว
ขณะที่นายจิระ บุญพจนสุนทร ตุลาการเสียงข้างน้อย ได้ระบุในคำวินิจฉัยส่วนตนว่า ในกรณีที่ผู้ร้องได้ร้องมาตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ กรณีคดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่าว คงปรากฏแต่เพียงว่าประธานรัฐสภาได้เชิญประธานวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทุกคณะ ประธานกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านมาประชุมกัน เพื่อพิจารณาหาข้อเท็จจริงที่เป็นสาเหตุของปัญหา ที่มีข้อความในร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏมีความขัดแย้งกัน ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะถือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาและไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดรองรับ ไม่อาจอ้างได้ว่าปัญหา 2 องค์กรเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่อาจใช่เป็นช่องทางเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 266 ได้ ดังนั้นอาศัยเหตุดังกล่าวที่ได้พิจารณามาจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
นาย
ด้านนาย
"ปัญหานี้อยู่ที่รัฐบาลมองคำวินิจฉัยนี้อย่างไร ซึ่งผมอยากให้มองในแง่ที่ดีคือ รัฐบาลจะต้องไม่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป ให้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นกรณีเฉพาะ แต่ถ้ารัฐบาลมองว่านี่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ศาลยอมให้แก้ไขเพิ่มเติมได้ก็เละ ระบบกฎหมาย ระบบนิติรัฐก็จะพัง ซึ่งอนาคตหากรัฐบาลปล่อยให้เกิดปัญหาลักษณะนี้ขึ้นอีก 2-3 ครั้ง ผมว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบ โดยรวมศาลคิดในทางที่จะช่วยเหลือประเทศ ต้องการให้วิกฤตการณ์นี้สงบลง แต่ความหวังดีกับสิ่งที่ถูกต้องมันไปด้วยกันไม่ได้ ซึ่งศาลต้องยึดความถูกต้องไม่ใช่ยึดความหวังดี" นายสมคิดกล่าว และว่า คำวินิจฉัยนี้คงไม่ทำให้ปัญหาจบสิ้น เพราะขณะนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีการแก้ไขกันอย่างไร การแก้ไขจึงไม่ใช่การให้ฝ่ายสำนักงานหรือประธานวุฒิสภาไปลบคำผิด แต่ประธานวุฒิฯ จะต้องมีการเรียกประชุม ส.ว. เพื่อสอบถามว่าจะแก้เอาตามมติที่ 1 หรือมติที่ 2 จากนั้นก็ต้องมีการส่งไปยังที่ประชุมสภาผู้แทนฯ เพื่อให้ลงมติ แล้วจึงค่อยส่งให้ฝ่ายบริหารส่งขึ้นทูลเกล้าฯ
นาย
ส.ส.บัญชีรายชื่อผู้นี้กล่าวว่า จากนั้นประธานวุฒิสภาจะส่งเรื่องมายังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจะได้ประชุมพิจารณาว่าที่วุฒิฯ ส่งมานั้นได้แก้ไขถูกต้องหรือไม่ เพื่อลงมติเห็นชอบและนำเข้าสู่กระบวนการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 ต่อไป อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของประธานรัฐสภาต่อไป ทั้งนี้ หากมีกรณีเช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ ก็สามารถนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเทียบเคียงได้ทันที เช่นเดียวกับคำวินิจฉัยของศาลฎีกา
เมื่อถามว่า จะมีการแก้ไขข้อบังคับเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติต่อไปหรือไม่ นายปกิตกล่าวว่า เนื่องจากข้อบังคับของสภาถือเป็นเรื่องที่รัดกุมอยู่แล้ว แต่ข้อผิดพลาดคือเรื่องของตัวบุคคลหรือจิตสำนึกในการรับผิดชอบ จึงไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขข้อบังคับ แต่เมื่อผิดที่คนก็ต้องแก้ที่คน ไม่ใช่ที่ตัวหนังสือ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)