"ขยะพิษ" เป็นประเด็นใหม่ล่าสุดที่ถูกพูดถึงในเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น หรือที่มีชื่อทางการว่า "ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น" (JTEPA/Japan-Thailand Economic Partnership Agreement)
ความคืบหน้าของข้อตกลงนี้คือ กระทรวงการต่างประเทศกำลังจะเปิดให้มีการประชาพิจารณ์ร่างที่สองประเทศคุยกันแล้วเสร็จมาตั้งแต่กลางปี ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ และคาดว่าจะลงนามกันภายในเดือนมกราคม 2550 ตามที่ญี่ปุ่นเรียกร้องต้องการอยากให้ไทยเร่งดำเนินการ
แม้หน่วยงานเจรจาของไทยจะยืนยันไม่เปิดเผยร่างข้อตกลงทั้งหมดตามที่หลายฝ่ายเรียกร้อง แต่อย่างน้อยที่สุดงานสัมมนาของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก็มีประเด็น "ขยะพิษ" มาให้พิจารณากันก่อนที่ใครจะไปร่วมแสดงความคิดเห็นในเวทีประชาพิจารณ์
ประเด็นนี้กำลังเป็นที่ตื่นตัวมากในประเทศที่ทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่นไปแล้วหรือที่กำลังดำเนินการอยู่ ไม่ว่าฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมทั้งไทยที่พบว่าในข้อตกลงมีการระบุจะลดภาษีเหลือ 0 สำหรับขยะพิษจากญี่ปุ่นบางประเภทที่นำมารีไซเคิลหรือเผาในไทย
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์ปัญหามลพิษอุตสาหกรรม ซึ่งเคยเดินทางไปดู "ขยะ" ในญี่ปุ่นและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายเดือน เล่าว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลิตขยะมากที่สุดในโลก และกำลังประสบวิกฤตปัญหาขยะทั้งจากครัวเรือนและขยะอุตสาหกรรม สินค้าจำพวกรถยนต์ ทีวี ตู้เย็น ฯลฯ ใช้กันสามสี่ปีก็ทิ้งกันแล้ว พฤติกรรมการบริโภคเช่นนี้ทำให้พื้นที่ฝังกลบน้อยนิดบนเกาะญี่ปุ่นไม่เพียงพอต่อขยะมหาศาล (ขณะที่ไทยมีขยะอุตสาหกรรมปีหนึ่งไม่ถึง 2 ล้านตัน ญี่ปุ่นมีถึง 412 ล้านตัน) จึงไม่แปลกที่จะต้องระบายขยะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปยังประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ซึ่งกฎระเบียบย่อหย่อนและเกรงกลัวนักหนาว่าจะถูก(นักลงทุน) ญี่ปุ่นทอดทิ้ง
แน่นอน การเผาเป็นทางออกสำคัญอย่างหนึ่งด้วย ญี่ปุ่นมีเตาเผาขยะที่มาจากชุมชน 1,850 แห่ง ขณะที่มีเตาเผาขยะอุตสาหกรรมราว 10,000 แห่ง ทำให้มีไดออกซิน สารพิษที่เกิดจากการเผาไหม้และขี้เถ้าพิษจำนวนมาก มากชนิดที่มองไกลๆ อาจเข้าใจว่าเป็นภูเขาลูกย่อมๆ นั่นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในญี่ปุ่นเองมีการรณรงค์เรื่องขยะกันอย่างหนัก แต่รัฐบาลก็ไม่เคยสนับสนุนเรื่องการลดปริมาณขยะ หากยังส่งเสริมให้ผู้ผลิตกระตุ้นการบริโภคของผู้คนอย่างบ้าคลั่งต่อไป มีการลับลอบนำขยะพิษไปทิ้งกันในป่าลึก ป่าต้นน้ำ จนทำให้แม่น้ำบางสายปนเปื้อนสารเคมี
เพ็ญโฉม กล่าวต่อไปอีกว่า แม้ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีเอฟทีเอ ญี่ปุ่นก็ส่งขยะพิษมายังประเทศไทยอยู่แล้ว โดยสถิติในปี 2546-49 พบว่ามีการนำเข้าขยะมาในประเทศไทย 3 แสนตัน จาก 7 ประเทศ ซึ่งเป็นของญี่ปุ่นไปเสีย 98%
ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการกำจัดขยะพิษได้ประมาณ 20% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือนั้น ไม่ต้องเดาก็คงรู้ว่ามันถูกลักลอบนำไปทิ้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นป่าแถวกาญจนบุรี ชลบุรี ฯลฯ
"จะมีกำแพงภาษีหรือไม่ก็ตาม ประเด็นสำคัญคือประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ไม่ควรเป็นถังขยะพิษให้กับประเทศอุตสาหกรรม แต่ละประเทศควรรับผิดชอบขยะของตัวเอง ถึงอย่างนั้น การลดภาษีเป็นศูนย์ในเอฟทีเอก็ยิ่งจูงใจให้ขยะพิษเหล่านี้เข้ามามากขึ้น เข้ามาได้เสรีขึ้น"
"หากมีการนำขยะพิษจากญี่ปุ่นเข้ามามากๆ สิ่งที่กังวลคือ ขยะพวกนี้ไปที่ไหนชาวบ้านก็จะต่อต้าน มันจะเกิดความรุนแรงและความสูญเสียอีกจำนวนมากในสังคมไทย เหมือนเช่นกรณีของแกนนำคัดค้านบ่อขยะราชาเทวะ หรือผู้นำประท้วงเจนโก้ บริษัทกำจัดขยะเคมีที่ถูกยิงเสียชีวิต"เพ็ญโฉมกล่าว
นอกจากนี้บริษัทญี่ปุ่นและสิงคโปร์ 5 แห่งยังได้รวมกันผลักดันขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในการตั้งโรงงานรีไซเคิลขยะพิษในประเทศไทย คล้ายเป็นการเตรียมการรองรับเอฟทีเอไว้แล้วในขณะนี้ด้วย
"มันอาจจะฟังดูดี แต่กระบวนการรีไซเคิลมันสร้างสาราพิษทั้งในอากาศ และน้ำ รวมทั้งจะมีกากพิษหลงเหลืออีกเป็นจำนวนมาก"
ส่วนกิติคุณ กิตติอร่าม ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษจากกรีนพีซ ให้ข้อสังเกตว่า หากดูต้นแบบเอฟทีเอระหว่างญี่ปุ่นกับฟิลิปปินส์จะพบว่า ขยะพิษที่สามารถนำเข้ามาฟิลิปปินส์อย่างปลอดภาษีนั้นมีหลายรายการมาก ซึ่งน่าสงสัยว่าข้อตกลงที่ญี่ปุ่นทำกับไทยนั้นเป็นอย่างไร มีเพียงขี้เถ้า เถ้าสาหร่ายทะเล (เคลป์)และกากที่ได้จากการเผาขยะเทศบาล ตามที่รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ "พิศาล มาณวพัฒน์" ชี้แจงกับสำนักข่าวประธรรมเพียงเท่านั้นจริงหรือไม่
นอกจากนี้เขายังพบว่า ประเด็นการขนย้ายขยะพิษระหว่างญี่ปุ่นกับไทยที่ระบุไว้ในเอฟทีเอนั้น ละเมิดต่อเจตนารมณ์ของอนุสัญญาบาเซล ซึ่งพยายามแก้ปัญหาการนำขยะพิษจากประเทศพัฒนาแล้วมาทิ้งยังประเทศกำลังพัฒนา
อนุสัญญานี้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2535 โดยทั้งไทยและญี่ปุ่นต่างก็ให้สัตยาบันแล้ว แต่อนุสัญญานี้กลับมีช่องโหว่ที่อนุญาตให้ส่งออกขยะพิษสำหรับ "การรีไซเคิล" ได้ ทำให้กลุ่ม G77 ผลักดันข้อห้ามขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้งไทยและญี่ปุ่นยังไม่ให้สัตยาบันในข้อห้ามที่คลอบคุลมไปถึงเรื่องรีไซเคิลดังกล่าว
ขณะที่ท่านผู้หญิง ดร.
ตัวอย่างที่ชัดเจนเห็นได้จากการทำวิจัยของดร.สุธาวัลย์ในพื้นที่ของจังหวัดลำพูน ซึ่งคนงานที่ทำงานในโรงงานของญี่ปุ่นแห่งหนึ่งเกิดการเจ็บป่วยจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับการดูแลและไม่อาจต่อรองกับนายจ้างได้ เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตการส่งออก ห้ามมีสหภาพแรงงาน
จากงานวิจัยของกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมพบว่า มีการปนเปื้อนของสารโซเวน ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมและก่อมะเร็ง แต่ข้อมูลนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะได้ทุนวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น
"เมื่อเราไปทำวิจัยในพื้นที่ก็พบสารก่อมะเร็งในบ่อน้ำบาดาลที่ชาวบ้านใช้ เกินกว่ามาตรฐานกำหนดเป็นร้อยเท่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือหน่วยงานราชการไม่กล้าแตะ เพราะเจ้าของอุตสาหกรรมขู่จะไปจีน ไปเวียดนาม"
สุธาวัลย์ยังแสดงความกังวลว่า การเซ็นเอฟทีเอนั้นมุ่งคุ้มครองนักลงทุนมากกว่าสิ่งแวดล้อม แม้แต่ในเอฟทีเอของสหรัฐที่มีบทคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่สูงมาก แต่เมื่อพิจารณาคู่กับบทคุ้มครองการลงทุนแล้ว เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่มีความหมาย โดยประสบการณ์ของนาฟต้า (ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐ แคนาดา เม็กซิโก) นั้นจะเห็นว่าเอกชนของชาติคู่เจรจาสามารถฟ้องร้องรัฐที่ร่วมลงนามได้หากรัฐมีการออกกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อที่ไปกระทบกับการลงทุน เพราะถือว่าละเมิดข้อตกลงที่ทำกันไว้
"ตรรกะของการเอาขยะพิษ ไปทิ้งในประเทศที่ค่าแรงต่ำนั้นเป็นตรรกะที่ถูกต้อง ไร้ที่ติ" สุธาวัลย์ทิ้งท้ายด้วยวลีนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกคนหนึ่งที่ทำให้เห็นวิธีคิดของประเทศ "พัฒนาแล้ว"
......คราวหน้าหากใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนออกปากชมบ้านเมืองที่สะอาด สวยงาม เป็นระเบียบที่เห็นอยู่ตรงหน้า อาจต้องคิดหลายๆ รอบแล้วกระมัง ......
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)