Skip to main content
sharethis

การเมือง


"ธีรภัทร์" ปัดข่าวโยกพ้นคุมสื่อ ! สาปส่งเว็บ ไฮ-ทักษิณ


ผู้จัดการ- นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายกฯ ได้มอบงานด้านการดูแลสื่อให้คุณหญิง ทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ดูแลแทน ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ยืนยันได้ว่า ขณะนี้ตนยังดูแลเรื่องสื่อทั้งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ และ อสมท รวมถึงการดำเนินนโยบายปฏิรูปสื่อ และการปฏิรูปการเมือง ดังนั้น ทั้งหนังสือพิมพ์ลงข่าว เพียงการคาดการณ์ล่วงหน้าจึงไม่สมควรที่จะนำมาเสนอ ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาด ส่วนตัวทำงานอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และหลักของเหตุผล


        


นายธีรภัทร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี แจ้งความดำเนินคดีกับนายธีรภัทร์ และนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฝ่าฝืน ม.157 ตามประมวลกฎหมายอาญา และเลือกปฏิบัติระหว่างพีทีวี และสถานีผ่านดาวเทียมอื่น โดยเฉพาะการจัดทำสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ภาคภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทีวีดาว เทียมเช่นกัน ว่า เรื่องทีวีดาวเทียมของกรมประชาสัมพันธ์ ยังไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เนื่องจากยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากตน ซึ่งจะต้องปรึกษาหารือกับนักกฎหมายและอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ก่อน ทั้งนี้ คาดว่า ภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ความชัดเจน


     


"ยืนยันได้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตนคิดว่าผู้ซึ่งยกเรื่องนี้ขึ้นมาพยายามจะไม่เข้าใจ ความจริงต้องไปฟ้องรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่เลือกปฏิบัติ เพราะไปดำเนินคดีกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพียงแห่งเดียว ที่เหลืออีก 10 กว่าราย ไม่ใช่มาฟ้องผม"


         


อย่างไรก็ตาม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่มี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน ศึกษากรณีสถานีโทรทัศน์ผ่าวดาวเทียมให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน เพื่อที่จะดำเนินการต่อไป นอกจากนั้นทั้งวิทยุชนชุม เคเบิลทีวี และสื่อที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต จะต้องมีการแก้กฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุ กระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กสช.) เพื่อแก้ไขให้แล้วเสร็จไปทีเดียว ไม่ใช่แก้ทีละเล็กทีละน้อย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาให้สมบูรณ์ ดังนั้น การใช้ทรัพยากรสื่อสารของชาติ และ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว กำลังรีบเร่งแก้ไขให้เสร็จ ภายใน 2-3 เดือนนี้


         


นายธีรภัทร์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีการจัดทำเว็บไซต์ www.Hi.thaksin.net ว่า คิดว่าเป็นการต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นที่ใครก็สามารถทำกันได้ และตนไม่ทราบว่า ใครเป็นคนทำ แต่ทำอะไรคงจะมองเห็น อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) สามารถทำการตรวจสอบเดินหน้าไปได้ด้วยดี โดยมี คตส.บางคน ระบุว่า คดีที่ตรวจสอบเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม


 


 


คตส.สอบรัฐอุ้มไอทีวี รณรงค์แบนสินค้าใน"ทักษิณทีวี"


ผู้จัดการ- ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ อดีต ส.ว.บุรีรัมย์ นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และ ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการ สมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด และประชาชนกว่ากว่า 30 คน ได้เข้ายื่นหนังสือ กล่าวหาและกล่าวโทษเกี่ยวกับการทำงานโครงการทีไอทีวี โดยมิชอบและทุจริตทำให้รัฐเสียหาย ต่อประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยมี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง.และกรรมการ คตส.มารับหนังสือแทน


         


นายการุณ กล่าวว่า มาร้องทุกข์กล่าวหาและกล่าวโทษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลยุทธ หิรัญยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) และนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับ บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


         


นายการุณ กล่าวว่า คลื่นวิทยุโทรทัศน์ของไอทีวีกลับคืนสู่สถานะเดิมคือ ตกเป็นของรัฐ และสปน.ได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดสรรคลื่นความถี่ เพราะยังไม่มีกสช.จึงต้องห้ามมิให้ผู้ใดดำเนินการจัดสรรคลื่นความถี่ การกระทำของบุคคลดังกล่าวจึงถือได้ว่าร่วมกันกระทำความผิด ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ซึ่งหลังจากเลิกสัญญาแล้ว สปน.และกรมประชาสัมพันธ์ไม่มีสิทธิ์และไม่มีอำนาจใช้สอยอาคารสำนักงานของเอกชน แต่คณะบุคคลดังกล่าว กลับละเมิดให้อาคารชินวัตร เป็นที่ดำเนินโครงการนี้โดยที่ไม่ปรากฏว่ามีการทำสัญญาเช่า หรือข้อตกลงอย่างอื่น อันเป็นเหตุให้รัฐเสี่ยงภัย และเสี่ยงต่อความเสียหาย


         


นายการุณ กล่าวว่า หลังจากรับเอาคลื่นโทรทัศน์มาดำเนินการแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้มีการเอาทรัพย์สินกลับมาเป็นของรัฐแต่ประการใด แต่คณะบุคคลดังกล่าวได้ให้พนักงานเดิมของไอทีวี ใช้ทรัพย์สินของรัฐดำเนินโครงการต่อ ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน และทำให้รัฐเสียหาย เพราะในขณะนี้พนักงานเดิมของบริษัทไอทีวี ยังไม่ได้ทำสัญญาใดๆ กับรัฐ ไม่มีสิทธิ์ใช้สอยทรัพย์สินของรัฐ


         


"มีการแถลงข่าวว่า กรมประชาสัมพันธ์ว่าจ้างเหมาให้พนักงานไอทีวี ในอัตราค่าจ้างเดือนละประมาณ 60 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 60,000 บาท ต่อเดือน ถือเป็นการล็อกสเปก ให้สิทธิ์เฉพาะพนักงานไอทีวี อันเป็นการกระทำผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ เลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม ผิดกฎหมาย ไม่มีการเปิดประกวดราคาอย่างโปร่งใส เป็นการกีดกันผู้อื่นไม่ให้มีโอกาสเข้ารับจ้างหรือเป็นลูกจ้าง ทั้งยังเป็นจ่ายค่าตอบแทนที่สูงกว่าลูกจ้างของกรมประชาสัมพันธ์เอง"


         


นายการุณ กล่าวว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีการว่าจ้างปีละ 1,560 ล้านบาท เป็นการดำเนินโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ร่วมกับเอกชน จึงอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน พ.ศ.2530 จึงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมาย แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวกลับละเว้นฝ่าฝืน และย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองโดยไม่นำพาต่อความรู้สึกของประชาชนและข้าราชการทั้งประเทศ


         


"การดำเนินโครงการนี้ จึงเป็นการดำเนินที่ทุจริต ผิดกฎหมาย เป็นการเอื้อประโยชน์แก่เอกชนและทำให้รัฐเสียหาย อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คตส.ที่จะตรวจสอบได้เพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการย่ำยีกฎหมาย ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทีไอทีวี ไม่ว่าจะปล่อยปละละเลยกรณีที่ไอทีวีผิดสัญญาสัมปทานในช่วงที่ผ่านมา และเมื่อมีการยึดคลื่นคืนแล้วบุคคลดังกล่าวยังได้ดำเนินการจัดสรรคลื่นความถี่ให้ กับพนักงานไอทีวีเดิม เพื่อทำการออกอากาศตามปกติ ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และไม่ทราบว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการออกอากาศดังกล่าวไปตกอยู่ที่ใด ซึ่งการมอบคลื่นให้อดีตพนักงานไอทีวีออกอากาศต่อดังกล่าว ก็เสมือนหนึ่งการฮั้วราคา คือสั่งเลยว่าให้ใครได้คลื่นดังกล่าวไป" นายการุณ กล่าว


         


นายการุณ กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวถือว่าผิดต่อกฎหมายหลายบท ทั้งกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 12 และ 13 มีการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม และ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157


         


เมื่อถามว่า หวังผลในการยื่นหนังสือครั้งนี้อย่างไร นายการุณ กล่าวว่า ต้องการให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษทางอาญาตามกฎหมาย เมื่อถามอีกว่าปกติ คตส.จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดที่ผ่านมา นายการุณกล่าวว่า ในประกาศคปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 5(2) และ(3)คตส.มีอำนาจหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ทุกรัฐบาล รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน


         


ด้านคุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า จะรับเรื่องไว้เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม คตส.โดยเร็วที่สุด หากทันในการประชุมวันนี้ ก็จะนำเข้าวันนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับในส่วนของ สตง.มีอำนาจตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว


         


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้ายื่นหนังสือครั้งนี้ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนที่เดินทางร่วมยื่นหนังสือดังกล่าวด้วยได้เข้ามานั่งรอบริเวณห้องพัก สำหรับผู้มาติดต่อราชการ เมื่อนายการุณได้ขึ้นไปบนตึกเพื่อรอเลขที่รับหนังสือ ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ทหารที่รักษาความปลอดภัยของ สตง.ได้มาไล่กลุ่มประชาชนให้ออกไปรอหน้าบริเวณหน้า สตง.จนเกิดความไม่พอใจ เมื่อบางคนไม่ยอมออกไป ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า "คุณจะออกไปหรือเปล่า หรือจะมีปัญหากับผม" ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงกับตะโกนด่ากลับไปว่า "ไอ้พวกรับใช้ทักษิณ มาไล่เราได้อย่างไร ถ้าไม่จำเป็นเราไม่มาหรอก เวลาลูกทักษิณมากลับต้อนรับอย่างดี แต่พวกเรามาปกป้องผลประโยชน์ของชาติกลับมาไล่อย่างนี้" พร้อมกับโห่ไล่เจ้าหน้าที่ดังกล่าว


         


จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ไปรวมตัวที่หน้าตึก สตง.พร้อมกับยกทีวีขนาด 21 นิ้ว มีสติกเกอร์ติดบริเวณหน้าจอว่า "สิงคโปร์+ทักษิณ บริษัทไอทีวี ลิ่วล้อ" จากนั้นได้พากันขึ้นไปเหยียบ พร้อมกับใช้ค้อนทุบจอทีวีดังกล่าว ทั้งนี้ภายหลังการเข้ายื่นหนังสือ กลุ่มผู้ชุมนุมร่วมกันประกาศจะไม่ซื้อสินค้าทุกชนิด ที่โฆษณาผ่านทีไอทีวี


 


นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส. กล่าวว่า ที่ประชุมคตส.ได้พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาที่มีผู้มาร้อง ให้สอบรัฐบาล กรณีอุ้มไอทีวี โดยที่ประชุมเห็นว่า จะต้องมีการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มและต้องดูว่าเรื่องดังกล่าวมีการยื่นคำร้องต่อศาลหรือไม่ ถ้ามีการยื่นคำร้องเอาไว้แล้ว คตส.ก็คงพิจารณาไม่ได้ ทั้งนี้ ได้มอบให้นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. ไปรวบรวมข้อมูลและให้รายงานให้ คตส.ทราบภายในสัปดาห์หน้า


 


 


 "มัชฌิมา" ยื่นหนังสือประธาน คมช.ขอลงพื้นที่เตรียมเลือกตั้ง ส.ส.


แนวหน้า - ที่ทำการกลุ่มมัชฌิมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา แถลงภายหลังการประชุมประจำสัปดาห์ของกลุ่ม ว่า ในเวลา 14.00 น.วันนี้ ตนพร้อมด้วยอดีตส.ส.ของกลุ่มจะเดินทางเข้ายื่นหนังสือขออนุญาตลงพื้นที่พบประชาชนในช่วงเทศกาลสงการนต์พร้อมรับฟังความเห็นประชาชนต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญให้กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก


 


โดยในหนังสือมีเนื้อหาระบุว่า เนื่องจากตนประสงค์จะเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อแนะนำตัวพร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ซึ่งในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549และประธาน คมช.ได้เน้นย้ำต่อสาธารณชนอยู่เสมอว่าต้องการให้มีการเลือกตั้งภายใน 2550 จึงจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่บัดนี้ สำหรับกรณีการขอให้คมช.พิจารณายกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 และ 27 นั้น ที่ผ่านมาเราก็ยืนยันขอให้มีการยกเลิกมาโดยตลอด แต่จะให้เราออกมาเรียกร้องทุกวันๆ ก็จะดูไม่เป็นผู้ใหญ่


         


เมื่อถามว่าคาดว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่เพราะกิจกรรมคล้ายกับของพรรคไทยรักไทยที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โดน คมช.คาดโทษอยู่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนทำหนังสือขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนและคิดว่าจะต้องได้รับคำตอบ อีกทั้งการทำหนังสือเป็นไปในนามบุคคลซึ่งทำการรวบรวมส่งไปพร้อมกันเท่านั้น


 


 


รัฐบาลและ คมช. ประชุมหาแนวทางยกร่างรัฐธรรมนูญในด้านของความมั่นคง


กรมประชาสัมพันธ์ -  นายธีรภัทร์  เสรีรังสรรค์  รัฐมนตรีต่างประเทศประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า  วันนี้คณะรัฐมนตรีได้ร่วมหารือกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชนเป็นครั้งแรก  เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างชัดเจน  และสอดคล้องกันเพื่อการบริหารประเทศชาติ  ซึ่งเห็นว่าน่าจะมีครั้งต่อไป สำหรับการหารือในวันนี้ได้หยิบยกประเด็นการยกร่างรัฐธรรมนูญที่พึ่ง 2 องค์การต่างต้องการให้ดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นแล้วเสร็จตามกรอบเวลา  อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการเปิดช่องทางไว้หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แต่ก็อยากให้ประชาชนลงมติให้การทำประชามติผ่านไปด้วยดี  และเป็นไปตามกลไก



 


กมธ.ออกเสียงประชามติ ยอมให้ กกต.ดำเนินการ


ไอ.เอ็น.เอ็น. -นายสวัสดิ์ โชติพานิช ประธานกรรมาธิการยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ และการออกเสียงประชามติ เปิดเผยภายหลังการหารือนอกรอบรวมกันกับผู้ยื่นเสนอการแปรญัตติในการให้ สสร.เข้ามากำกับดูแล การทำประชามติของ กกต.ได้ หลังจากที่มีข้อขัดแย้งดังกล่าวขึ้นในระหว่างการประชุม โดยมีการตกลงประนีประนอม ในการที่จะมอบอำนาจให้กับ กกต.ในการจัดทำประชามติอย่างเป็นอิสระ แต่ทั้งนี้ก็ได้กำหนดให้ สสร.มีอำนาจในการที่จะเสนอข้อคิดเห็นหรือติดตามการทำงานของ กกต.ได้ด้วย เพื่อทำให้เกิดการเชื่อมโยงในอำนาจซึ่งการและกัน และทางผู้เสนอคำแปรญัตติเองนั้น ก็ได้ขอถอนมติดังกล่าวไปแล้ว โดยเชื่อว่าการประชุมในวันพรุ่งนี้จะเป็นไปด้วยดีสำหรับเรื่องของปัญหางบประมาณ ที่มองว่ามีการใช้จ่ายสูงนั้น นายสวัสดิ์ ก็เห็นว่าเป็นเพียงการคิดคำนวณไปตามวิธีการเลือกตั้งของ กกต.ที่จะต้องมีการจัดคูหา และมีการจัดบัตรพิมพ์ลงประชามติ ซึ่งอาจทำให้มีการคิดคำนวณที่แตกต่างกันของอีกฝ่าย


 


 


5เดือนเบิกจ่ายงบลงทุนอืดขู่ทำงานช้ากระทบเงินโบนัส


คมชัดลึก - นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวถึงผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 191,108.57 ล้านบาท หรือ 12.20% ของวงเงิน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.78% แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 136,670.81 ล้านบาท หรือ 11.13% ของรายจ่ายประจำและสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.74% และเป็นรายจ่ายลงทุน 54,437.76 ล้านบาท หรือ 16.09% ของวงเงินซึ่งสูงกว่าปีก่อน 8.60%


 



ส่วนช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณมีการเบิกจ่ายเงินไปแล้วทั้งสิ้น 536,209.96 ล้านบาท หรือ 34.24% ของวงเงิน ซึ่งยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.21% จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ 449,721.97 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน  86,367.14 ล้านบาท


 



ทั้งนี้หน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีการเบิกจ่าย 60.44% กระทรวงศึกษาธิการ 40.41% และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 39.47% สำหรับโครงการที่ได้งบลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ที่มีผลการเบิกจ่ายสูงสุด โครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านเอื้ออาทร เบิกจ่าย 53.28% โครงการดาวเทียม 50.78% และโครงการพัฒนาความมั่นคงที่อยู่อาศัยคนจนในชุมชนแออัดโครงการบ้านมั่นคง 50%


 



"ส่วนการตั้งทีมติดตามเบิกจ่ายขึ้นมาทุกกระทรวงนั้น ก็เพื่อเร่งรัดให้เบิกจ่ายตามเป้า 93% จะได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง และการกระตุ้นที่สำคัญคือต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังล่าช้า ซึ่งเชื่อว่าทุกหน่วยงานคงทำได้ เพราะจะเกี่ยวข้องกับการประเมินผลงานที่จะส่งผลต่อโบนัสประจำปีของแต่ละหน่วยงาน" นายมนัส ระบุ


 


ความมั่นคง


 


"อังคณา"ฟ้องเสรีพิศุทธ์ละเลยหน้าที่


กรุงเทพธุรกิจ - นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมที่หายตัวไป ได้ยื่นศาลปกครองฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งมี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ในความผิดเรื่องละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ และออกคำสั่งโดยมิชอบ


 



คำฟ้องระบุว่า การหายตัวไปของนายสมชาย สามี ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2547 ซึ่งต่อมาได้ดำเนินคดีกับตำรวจ 5 นาย โดยพนักงานอัยการยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีต พงส.(สบ.2) กก.4 ป., จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวนฯ แผนก 4 กก.2บก.ทท., ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน รอง ผกก. 3ป. ช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 เป็นจำเลยที่ 1-5


 



ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2-5 ให้ยกฟ้อง แต่ขณะนี้คดียังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ในขณะที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีคำสั่งเพียงให้จำเลยที่ 1-4 ออกจากราชการไว้ก่อน ส่วน พ.ต.ท.ชัดชัย มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ตำรวจภูธรภาค 4 แต่ต่อมาผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 กลับมีคำสั่งให้จำเลยที่ 2-4 กลับเข้ารับราชการ จึงเป็นการออกคำสั่งที่ขัดแย้งกับคำสั่งเดิม


 



ดังนั้นขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ พ.ต.ท.ชัดชัย ไปช่วยราชการที่ตำรวจภูธรภาค 4 และคำสั่งที่ให้ 4 นายตำรวจกลับเข้ารับราชการ และให้มีคำสั่งให้พักหรือออกจากราชการไว้ก่อน จนกว่าคดีจะสิ้นสุด ทั้งนี้ศาลรับคำฟ้องไว้เพื่อพิจารณาว่าจะประทับรับฟ้องคดีหรือไม่ต่อไป


 



ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนเพิ่งรักษาการ ผบ.ตร.เมื่อเดือนที่แล้ว ได้นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้พานางอังคณามาพบ และก็รับปากว่าจะดำเนินการให้ โดยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนผู้มีปัญหาอยู่


 



"จะเอาอะไรกับผมอีก จะให้ผมเป็นศัตรู จะให้ทำหรือไม่ให้ทำ ให้ไปสั่งสอนคุณอังคณาให้อยู่ในกรอบ อย่าแหกปาก ทำให้แล้วจะเอาอะไรอีก จะผลักให้ผมไปอยู่อีกฝ่ายหรือไง อย่าเชื่อคนอื่นมาก ผมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอยู่แล้ว" รักษาการ ผบ.ตร.กล่าว


 


 


จ่อจับเพิ่ม2จุดมือบึ้มกรุง"เสรี"ยันไม่มีทหารเอี่ยว


คมชัดลึก - ความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 12 มีนาคม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีระเบิด 9 จุดในเขตกรุงเทพมหานครและ จ.นนทบุรี มี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผช.ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี รองผบช.น.ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ใช้เวลาประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ


 



พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า คดีระเบิด 9 จุดมีความคืบหน้าไปมาก โดยก่อนหน้านี้ได้ภาพวงจรปิดที่ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศแคนาดา ตรวจสอบกลับมาแล้ว 3 จุด ทำให้พนักงานสอบสวนเสนอในที่ประชุมให้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 จุด คือ ที่เมเจอร์ รัชโยธิน และซีคอนสแควร์ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้อนุมัติหมายจับ เนื่องจากต้องการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อมและพยานเอกสารต่างๆ ซึ่งเห็นว่าถ้ารวบรวมพยานหลักฐานได้ 80-90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อจับมาได้ก็สามารถส่งอัยการได้ทันที ไม่ใช่ขอหมายจับได้แล้วถึงมารวบรวมพยานหลักฐานภายหลัง


 



 "2 จุดที่จะออกหมายจับเพิ่มนั้น รู้แล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญที่กองพิสูจน์หลักฐานเปรียบเทียบภาพถ่ายเชิงซ้อนจนได้ภาพชัดเจน และได้ส่งตำรวจไปตามประกบแล้วโดยไม่ให้ผู้ต้องสงสัยรู้ตัว และหลักจากนี้จะเร่งรัดให้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับให้เร็วที่สุด ส่วนความคืบหน้าทั้งหมดจะให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ไปชี้แจงในที่ประชุมผู้นำเหล่าทัพ เพราะผมติดประชุมไม่สามารถไปได้ด้วยตัวเอง" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว


 



รักษาการ ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ที่สะพานควายที่มีการออกหมายจับ และเผยแพร่ภาพวงจรปิดไปก่อนหน้านี้ ได้มีประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์มาแจ้งเบาะแส แต่ยังไม่ชัดเจน และถ้าจะจับจริงๆ ก็ต้องชัดเจนกว่านี้ แต่เบื้องต้นได้ทราบแล้วว่าจุดนี้ผู้ต้องหาเป็นใคร และให้เจ้าหน้าที่ตามประกบอยู่ ขอยืนยันว่าผู้ต้องหาที่ออกหมายจับและกำลังจะออกหมายจับนั้น ไม่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นพลเรือนทั้งหมด และรู้สาเหตุว่าการกระทำครั้งนี้มาจากอะไร แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับทางภาคใต้หรือไม่นั้น ไม่สามารถบอกได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้าจะเรียกหัวหน้าพนักงานสอบสวนในระดับปฏิบัติมาชี้แจงด้วยตนเอง เพื่อจะได้สั่งงานได้โดยตรง


 



"ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มบีอาร์เอ็นจะมาก่อเหตุช่วงวันที่ 13-15 เมษายนนั้น ขอเรียนว่าข่าวก็คือข่าว จะถูกต้องชัดเจนแค่ไหนก็ไม่รู้ ไม่อยากให้กระพือข่าวออกไป ตอนนี้ตำรวจกับทหารร่วมมือกันรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ให้ประชาชนทำมาค้าขายได้ และท่องเที่ยวได้ ตำรวจทหารระมัดระวังกันทุกจุด แต่จะห้ามไม่ให้ประชาชนเชื่อก็ไม่ได้ แต่ขอให้ประชาชนให้ความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถทำให้สังคมสบายใจ" รักษาการ ผบ.ตร.กล่าว


 


 


ม็อบหญิงชุมนุมกดดันปล่อยผู้ต้องสงสัยบอมบ์โอเกะเบตง


ผู้จัดการ- วันนี้(12 มี.ค.) เวลา 14.40 น. บริเวณด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลอัยเยอร์เวง(สภ.ต.) อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ได้มีประชาชนในพื้นที่ตำบลอัยเยอร์เวง และพื้นที่ตำบลข้างเคียงจำนวนหนึ่งทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุม บริเวณด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลอัยเยอร์เวง เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ปล่อยตัวผู้ต้องสงสัย เกี่ยวข้องลอบวางระเบิดร้านคาราโอเกะเมื่อวันที่ 18 ก.พ.จำนวน 2 คนหลังมีการจับกุมเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา


        


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เบตง ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย จำนวน 2 คนนั้นจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่าบุคคลทั้ง 2 เป็นสมาชิกแนวร่วมของกลุ่ม "อาร์เคเค"และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบวางระเบิดร้านคาราโอเกะเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา


         


ทั้งนี้ เนื่องจากในการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้นำพยานมาชี้ตัวและได้รับการยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ได้เข้าไปในร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งที่ถูกลอบวางระเบิดในครั้งนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดตัว ฝากขังที่ค่ายอิงคยุทธบริหารบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือสื่อมวลชนไม่ให้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้ต้องสงสัย เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดีในการขยายผลต่อไป


         


จากการรวมตัวชุมนุมของประชาชนในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ต้องเจรจากับบิดาของผู้ถูกจับกุมแต่ไม่เป็นที่ต้องลงกันได้ เนื่องจากบิดาของผู้ที่ถูกจับกุมยืนกรานว่าต้องการพบนายอำเภอเบตง เพื่อยืนยันว่าลูกชายตนเองบริสุทธิ์


         


ในขณะเกิดเหตุ นายอำเภอได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ ที่จังหวัดยะลาจนต้องให้ร.ต.ท. พิศิษย์ ปิ่นแก้ว หัวหน้าสภ.ต.อัยเยอร์เวงเข้ามาเจรจา และรับปากว่าจะนำไปพบแต่ต้องคัดเลือกคนมา ในวันพรุ่งนี้จะพาไปพบนายอำเภอ แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ยอมสลายตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปยังหน่วยกำลังข้างเคียง เพื่อตั้งด่านสกัดชาวบ้านที่จะเดินทางมาร่วมสมทบในการชุมนุมในครั้งนี้


 


 


เศรษฐกิจ


 


FTA ไทย-ญี่ปุ่นผ่านประชาพิจารณ์แล้ว แต่ยังไม่กำหนดเวลาลงนาม


ผู้จัดการ- นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น หรือ เอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น ว่าขณะนี้การจัดทำได้ผ่านขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว แต่จะมีการลงนามบันทึกความตกลงร่วมกันเมื่อไรนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนได้ ส่วนความกังวลของไทยในเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพและขยะอุตสาหกรรมนั้น ทางประเทศญี่ปุ่นเข้าใจดีและไม่ได้นำปัญหาดังกล่าวมาเป็นประเด็นในการเจรจาแต่อย่างใด


         


รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือ ไจก้า พร้อมสนับสนุนความร่วมมือทางการค้าการลงทุนกับประเทศไทย ทั้งในระดับอุตสาหกรรมไปจนถึงระดับประเทศ


 


 


สนช.เสนอปลดล๊อคพรบ.ต่างด้าว


ข่าวหุ้น - นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติ(สนช.)เปิดเผยว่าเตรียมเสนอวาระให้ที่ประชุมสนช. เพื่อผ่านความเห็นชอบแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยผ่อนปรนแก่บริษัทที่ต่างด้าวถือหุ้นไม่ถึง 50% แต่โหวต เสียงได้เกินกึ่งหนึ่งสามารถดำเนินธุรกิจได้ถูกต้องตามกฎหมายประเทศไทย แต่มีเงื่อนไขต้องมีเจตนาที่สุจริต หรือไม่กระทำลักษณะการเป็นนอมินีแทนต่างชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนประเทศให้กลับมาเหมือนเดิม


         


เนื่องจากที่ผ่านมายอมรับว่า มาตรการเก็งกำไรค่าเงินบาทและแก้ไขร่างพ.ร.บ.คนต่างด้าว ที่ครม.ได้อนุมัติช่วงเดือนม.ค.50 สร้างความไม่มั่นใจแก่เอกชนจนหลายรายชะลอการลงทุนในไทย เพื่อรอความชัดเจนก่อน


         


สำหรับแนวทางการพิสูจน์เจตนาที่สุจริต คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเส้นทางเงินร่วมลงทุนของนักลงทุนไทยว่าเงินมาแหล่งใด หรือ กรณีที่ปล่อยให้ต่างชาติโหวตเสียงได้เกินกึ่งนั้นนักลงทุนไทยได้รับประโยชน์อย่างไร เช่น ได้รับเทคโนโลยี, ยี่ห้อสินค้าเป็นของต่างชาติและบริษัทแม่ให้นักลงทุนไทยเป็นผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศเป็นต้น


         


นอกจากนี้เสนอให้เพิ่มโทษความผิดการถือหุ้นแทนต่างชาติกรณีตรวจสอบพบจากเดิมจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 300,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท


         


"เป็นแนวคิดสมาชิกสนช. 58 คน นำโดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ร.ต.อ.ปุระชัยเปี่ยมสมบูรณ์ ที่เห็นว่าต้องหาแนวทางปลดล็อกปัญหาทั้งหมดเพราะหากรัฐบาลยืนยันในแนวทางเดิมก็ทำให้ต่างชาติไม่ยอมรับ แต่หากยกเลิกเรื่องการโหวตทำให้คนไทยบางกลุ่มมองว่าเป็นนิรโทษกรรมแก่บริษัทกุหลาบแก้ว"--จบ


 


 


'ไอซีที'คาดกฤษฎีกาตีความมือถือกลางเมษายนนี้


กรุงเทพธุรกิจ- นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า สัญญาสัมปทานโทรศัพท์มือถือทั้งหมด ที่ส่งไปให้กฤษฎีกาวินิจฉัยนั้น คาดว่าจะมีคำตอบกลับมาประมาณกลางเดือนเมษายนนี้ หลังจากนั้นจะนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อหาข้อสรุปแนวทางต่อไป


         


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินการหลังผ่านที่ประชุม ครม. อาจไม่ทันภายในรัฐบาลชุดนี้ เพราะหากสัญญาสัมปทานผิดจริง ไม่มีความสมบูรณ์ตามกฎหมาย ก็ต้องเปิดให้มีการเจรจาเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง หากไม่สามารถเจรจากันได้ เรื่องก็อาจไปถึงชั้นศาล


         


ส่วนแนวทางการเจรจาแก้ไขสัญญานั้น ตามหลักการต้องสร้างความเป็นธรรม และเท่าเทียมให้เกิดขึ้นกับเอกชนและรัฐ เช่น การจ่ายส่วนแบ่งรายได้เท่ากัน อายุสัญญาที่เท่ากัน รวมถึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 และ พ.ร.บ. อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง


         


ขณะที่ กรณีสัญญาสัมปทานดาวเทียม ยังอยู่ระหว่างการศึกษา หากไม่มีเหตุพอจะยึดสัญญาสัมปทานคืน ก็ต้องมีการแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป


         


นายสิทธิชัย กล่าวว่า ด้านแนวทางการหาทางออกปัญหากิจการร่วมค้าไทยโมบายนั้น จะมีการหารือร่วมกับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ดทีโอที และ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ประธานบอร์ด กสท ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งแนวคิดในเบื้องต้น จะให้ทีโอทีซื้อหุ้นและทรัพย์สินจาก กสท และตั้งบริษัทใหม่ในการดำเนินงานโดยใช้ประโยชน์จากความถี่ 1900 เมกะเฮิรตซ์


         


โดยกิจการร่วมค้าไทยโมบายอาจจะแขวนไว้ เพราะมีหนี้สินอยู่ประมาณ 6 พันล้านบาท และให้บริษัทใหม่ดำเนินการแทนไปก่อน


         


"งานหลักของไอซีทีตอนนี้คือ ตรวจสอบสัญญาสัมปทาน โดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขที่ไม่ถูกกฎหมาย แค่นี้เวลาก็คงจะหมดแล้ว ดังนั้นการดำเนินการอื่นๆ จะให้บอร์ดได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ มีเพียงบางงานเท่านั้นที่จะมีการหารือระหว่างกัน" นายสิทธิชัยกล่าว


         


 


คุณภาพชีวิต การศึกษา


 


ยัน "โอเน็ตสังคม" มีคำตอบถูกที่สุด


สยามรัฐ - ตามที่มีนักเรียนออกมาระบุว่า พบข้อสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต) ในรายวิชาสังคมศึกษา มีข้อผิดพลาด 2 ข้อ และเรียกร้องให้สำนักงานทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ยกประโยชน์ให้กับผู้สอบโดยให้คะแนนกับนักเรียนทุกคน นั้น เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2550 นางอุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการ สทส.ได้แถลงชี้แจ้งว่าสทศ.ได้ให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อสอบประจำวิชาสังคมศึกษาฯ ตรวจสอบแล้วพบว่า ข้อสอบทั้ง 2 ข้อตามที่ระบุ มีความถูกต้อง โดยมีคำตอบที่ถูกที่สุดในตัวเลือกเพียงข้อเดียว ทั้งนี้คำสั่งระบุไว้ว่าจะมีคำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดเพียงหนึ่งข้อ จึงต้องอ่านและคิดวิเคราะห์ให้ดี


 



"อย่างในข้อ 33 ที่ร้องเรียนมา โจทย์ถามว่า สภาพการณ์ใด บ่งบอกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในระบบเศรษฐกิจ คำตอบ ที่ถูกต้องที่สุดคือข้อ 2 คืออำนาจซื้อของเงินที่อยู่ในมือ ของประชาชนลดลงเพราะเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ราคาของสินค้าจะเพิ่มขึ้น โดยที่ปริมาณหรือคุณภาพของสินค้ายังคงเดิม เมื่อต้องจ่ายเงินมากขึ้นโดยได้รับสินค้าเท่าเดิม อำนาจซื้อของเงินที่มีอยู่จึงลดลง ส่วนข้อ 3 และข้อ 4 มีส่วนถูก แต่ไม่ถูกที่สุด ส่วนข้อ 1 ผิด" นางอุทุมพร กล่าวและว่า ถ้าพบข้อสอบมีความผิดพลาด แม้ว่าเด็กจะไม่ได้แจ้งเข้ามา เราก็จะให้คะแนนฟรีทุกคน เพราะถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ สทศ. ถ้าผิดเราก็จะไม่ดันทุรัง และหากใครพบข้อสงสัยสามารถร้องเรียนกับ สทศ.ได้โดยตรง นอกเหนือจากสื่อ แต่ควรร้องก่อนประกาศผลโอเน็ตในวันที่ 10 เม.ย. ส่วนที่เรียกร้องให้ตรวจข้อสอบโอเน็ตวิชาภาษาไทยของปีที่แล้วใหม่นั้น จะนำเข้าหารือคณะกรรมการบริหาร สทศ.ในวันที่ 23 มี.ค.นี้


 



นายกฤษณพงษ์ กีรติกร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวถึง ข้อสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติชั้นสูง (เอเน็ต) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รับผิดชอบว่า ยืนยันว่าเป็นการพิมพ์ผิด ไม่ใช่ข้อสอบผิด ซึ่งความจริงกรรมการที่ออกข้อสอบจะต้องตรวจทานเองหลายครั้ง เพราะส่วนนี้มักจะมองข้ามไป อย่างไรก็ตามเป็นห่วงเรื่องข้อสอบรั่วมากกว่าข้อสอบผิดพลาด ส่วนที่มีเสียงเรียกร้องให้มีข้อสอบอัตนัยนั้นคงทำไม่ได้เพราะต้องใช้คนตรวจจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย


 



ด้านนายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาหากพบว่าเกิดความผิดพลาดจริงก็จะแก้ปัญหา 2 ทาง คือ ไม่ตรวจและไม่คิดคะแนนข้อสอบทั้ง 2 ข้อ หรือยกคะแนนให้กับนักเรียนทุกคน ซึ่งไม่ว่าวิธีใดก็มีความเป็นธรรมกับนักเรียนทุกคน และไม่เกิดผลกระทบตามมาด้วย แต่ทั้งนี้สมัยที่เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อสอบเอ็นทรานซ์จะใช้วิธีการตัดข้อที่ผิดออกไปโดยไม่ตรวจข้อนั้น อย่างไรก็ตาม การควบคุมไม่ให้ข้อสอบเกิดความผิดพลาดนั้นถือเป็นยอดปรารถนา แต่หากพบว่าผิดก็จะต้องแก้ไข โดยไม่ให้กระทบโอกาสของนักเรียนแน่นอน


 


 


ต่างประเทศ


 


ปธน.บราซิลเตือนบุรุษ เคารพสิทธิสตรี


ไทยรัฐ -ประธานาธิบดีแห่งบราซิล "หลุยส์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา" ประกาศเอาจริงเนื่องในวันสตรีสากล ที่ผ่านมา (8 มี.ค.) ว่า ต่อจากนี้ไปทุกคนต้องเคารพสิทธิสตรีด้วยการสวมถุงยางอนามัย เพื่อช่วยผู้หญิงที่ไม่รู้ อีโหน่อีเหน่ ต้องมารับเคราะห์ ติดเชื้อเอชไอวีจากผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยอย่างไม่ตั้งใจ



"โดยเฉพาะโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคที่น่ากลัว จึงถึงเวลาที่ชาวบราซิเลี่ยนต้องหัดรู้จักการมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัย ด้วยการรู้จักสวมถุงยางอนามัยให้ถูกวิธี เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเซ็กซ์เป็นความต้องการเชิงกายภาพของมนุษย์อยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเราต้องล้างสมองคนหัวเก่าคร่ำครึ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและยอมรับ หรืออีกทางออกหนึ่งคือ ตัวผู้หญิงเองต้องหันมาใช้ถุงยางอนามัยสำหรับสตรีบ้าง"


 



คำพูดหนักแน่นเอาจริงเอาจังของประธานาธิบดี สะเทือนไปถึง รมว.สาธารณสุขบราซิล ถึงกับคลอดแคมเปญใหม่หวังพิชิตโรคมรณะจากอดีตถึงปัจจุบันร่วม 10 ปี ที่ลุกลามจนเส้นกราฟพุ่งถึง 44% ให้ลดลง เพื่อเอาใจนายใหญ่ให้ได้ แต่อย่างว่า ถึงแม้กฎหมายจะให้สิทธิ์ผู้หญิงกับผู้ชายเสมอภาคกัน แต่ภาคปฏิบัติผู้ชายก็ยังเป็นช้างเท้าหน้าอยู่ แล้วการทำแท้งก็ถือว่าผิดกฎหมาย เรื่องบทลงโทษคดีล่วงละเมิดทางเพศ ทุบตี ซ้อมหญิง หรือแม้แต่คดีอาชญากรรมอื่นๆ ก็อ่อนจนง่อยเปลี้ย!! และที่สำคัญสุด บราซิลเป็นประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกมากที่สุดในโลก ซึ่งมองว่า การทำแท้งและการชิงสุกก่อนห่ามถือเป็นบาปอีกต่างหาก


 


 


กองทัพสหรัฐ ร่างแผนถอย ออกจากอิรัก


สยามรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าหนังสือพิมพ์ "ลอส แองเจลิส ไทมส์" รายงานอ้างแหล่งข่าวระบุว่า กองทัพสหรัฐได้เริ่มร่างแผนถอยออกจากอิรัก กรณีความพยายามของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้นำสหรัฐ ที่จะเพิ่มกำลังทหารสหรัฐในอิรักจำนวน 25,000 นาย ประสบความล้มเหลวซึ่งรวมทั้งการถอนกำลังออกจากอิรักตามลำดับ หรือการมุ่งเน้นให้การฝึกและคำแนะนำแก่กองกำลังอิรัก เพื่อรับภารกิจหลักในการป้องกันอิรักเอง โดยกองทัพสหรัฐได้เริ่มร่างแผนถอยออกจากอิรัก ในกรณีถูกพรรคเดโมแครตขัดขวางแผนเพิ่มการส่งทหารสหรัฐไปยังอิรัก


 



ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า ร่างแผนนี้อาจยึดบางส่วนของแผนปฎิบัติการรบในเอล ซัลวา ดอร์ เมื่อปี 1980โดยอาจลดกำลังพลทหารสหรัฐให้เหลือเพียงชุดปฎิบัติการรบพิเศษชุดหนึ่ง แทนการคงกำลังทหารจำนวนมากในอิรัก


 



ทั้งนี้ มองกันว่า หากสหรัฐจะต้องเปลี่ยนแผนจากการเพิ่มกำลังทหารสหรัฐไปอิรัก เป็นการยึดบทบาทเป็นพี่เลี้ยงแก่กองกำลังอิรัก ก็อาจทำให้รัฐบาลบุชอาจทำตามข้อเสนอแนะของรายงานคณะกรรมาธิการด้านกิจการกองทัพที่เคยแนะนำให้รัฐบาลสหรัฐค่อยๆ ลดกำลังทหารสหรัฐในอิรัก


 


 


มุสลิมออสเตรเลียตั้งพรรคการเมือง


กรุงเทพธุรกิจ - มุสลิมออสเตรเลียเผยแผนตั้งพรรคการเมือง ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง แต่ไม่กีดกันคนต่างศาสนา ชูธงหนุนความยุติธรรม ส่งเสริมความซื่อสัตย์ ความเท่าเทียม



เชคทัจ อัลดิน อัล-ไฮลาลี ผู้นำทางศาสนาอิสลามคนสำคัญในออสเตรเลีย ประกาศวานนี้ว่าชาวมุสลิมในออสเตรเลียมีแผนตั้งพรรคการเมือง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โดยคาดว่าจะจัดตั้งพรรคและดำเนินการได้ภายในสิ้นปีนี้


 



นายเคย์ซาร์ ทรัด โฆษกของดะโต๊ะไฮลาลี กล่าวว่า ดะโต๊ะไฮลาลีต้องการยุติสภาพการณ์ที่บรรดานักการเมือง ใช้ชุมชนมุสลิมเป็น "สนามฟุตบอล"


 



นายทรัด กล่าวว่า กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ จะตั้งเป้าชนะการเลือกตั้งในการเมืองออสเตรเลียทุกระดับ และแม้ดะโต๊ะไฮลาลีต้องการให้พรรคนี้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาวมุสลิม 300,000 คนในประเทศ แต่ทางพรรคจะไม่กีดกันคนต่างศาสนา


 



"พรรคนี้จะไม่ใช่พรรคการเมืองที่จำกัดเฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้น เพียงแต่จะใช้ชื่อพรรคว่า พรรคมุสลิม แนวคิดโดยรวมคือการส่งเสริมความยุติธรรมอย่างทั่วถึงและส่งเสริมค่านิยมบางอย่าง เช่น ความซื่อสัตย์ ศักดิ์ศรี และความเท่าเทียม ผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่จะตั้งพรรคที่สามารถทำหน้าที่เป็นทางเลือกให้ประชาชนผู้ไม่พอใจกับพรรคการเมืองใหญ่ๆ อีกต่อไป" นายทรัดกล่าว



         


เกาหลีใต้ กำจัดเป็ดกว่า 35,000 ตัวหลังพบเชื้อไข้หวัดนกระบาดครั้งล่าสุด


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค -เจ้าหน้าที่ทางการเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เป็ดกว่า 35,000 ตัวในฟาร์มสัตว์ปีกแห่งหนึ่งในเขตเชนาน ห่างไปทางใต้ของกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ราว 90 กิโลเมตร รวมทั้งฟาร์มใกล้เคียงอีก 4 แห่งในรัศมี 500 เมตร ถูกกำจัดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก หลังจากเจ้าหน้าที่ ยืนยันว่า พบเชื้อไข้หวัดนกชนิดเอช 5 เอ็น 1 ในสัตว์ที่ตายในฟาร์มสัตว์ปีกแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี แต่ขณะนี้ ยังไม่พบรายงานการระบาดไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นการระบาดครั้งใหม่แม้ว่าจะมีความพยายามยังยั้งเชื้อดังกล่าวแล้วก็ตาม


         


ทั้งนี้ เกาหลีใต้ พบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ในเขตอันเซง ทางเหนือของเขตเชนาน นอกจากนั้น มีรายงานว่าสัตว์ปีกมากกว่า 2 ล้านตัวในฟาร์มทางตอนกลางและตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศถูกกำจัดนับตั้งแต่พบเชื้อไข้หวัดนกระบาดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนปีก่อน ซึ่งนับว่าเป็นการระบาดครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี


         


สำหรับเกาหลีใต้พบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกครั้งแรกช่วงเดือนธันวาคม 2546 และมีนาคม 2547 และกำจัดสัตว์ปีกไปแล้ว 5 ล้าน 3 แสน ตัวมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลล่าร์


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net