Skip to main content
sharethis

นายอรรคพล สรสุชาติ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2551 เปิดแถลงถึงผลการประชุมครม.ว่า การพิจารณาของกรรมาธิการฯ ได้พิจารณางบประมาณของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยกรรมาธิการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับหนี้สูญ เมื่อพิจารณาจากตัวเลขรวมที่มีการนำเสนอ พบว่า มีตัวเลขหนี้ค่อนข้างมาก โดยกรรมาธิการจะนำมาพิจารณาประกอบกับนโยบายของกองทุน ทั้งนี้ กรรมาธิการยังไม่ได้มีการปรับลดงบประมาณแต่ประการใด


 


นายอรรคพลกล่าวอีกว่า ส่วนการพิจารณาในส่วนของงบกลาง กรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกตค่อนข้างมากโดยเฉพาะงบกลางที่ใช้ในอดีตโดยรัฐบาลที่ผ่านมา ตรวจสอบพบว่า การเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 142,700 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณรวมตั้งแต่ปี 2546-2549 อยู่ในรายการของงบกลางปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ งบเสริมสร้างศักยภาพ และการปรับกลยุทธรองรับความเปลี่ยนแปลง


 


ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าว ใช้ไปจริงประมาณ 120,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงน่าจะเหลือวงเงินอีกประมาณ 18,000 ล้านบาทในระบบ โดยตามระบบกันสำรองจะตัดงบประมาณส่วนนี้เป็นงบกลางของสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยรัฐบาลที่ผ่านๆ มามักจะไม่คืนงบประมาณในส่วนนี้กลับมา


 


"ซึ่งทางสำนักงบประมาณได้ยอมรับว่า มีงบประมาณส่วนนี้เหลืออยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน กรรมาธิการฯ จึงขอให้ตรวจสอบงบส่วนนี้ นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณที่เบิกจ่ายโดยสำนักนายกรัฐมนตรีเบิกไปฝากไว้กับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยได้นำมาใช้ในโครงการอยู่ดีมีสุข 4,728 ล้านบาท"


 


โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ระบุอีกว่า งบประมาณเดิมเป็นงบตั้งไว้พัฒนาหมู่บ้าน หรืองบเอสเอ็มแอล 19,000 บาท มีการเบิกจ่ายไปประมาณ 9,000 ล้านบาท เหลืองบอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อนำมาใช้ในโครงการอยู่ดีมีสุข 4,728 ล้านบาท จึงต้องมีเงินเหลือประมาณ 4,950 ล้านบาท โดยเงินนี้น่าจะอยู่ในบัญชีธนาคาร


 


นายอรรคพล กล่าวต่อว่า กรรมาธิการสอบถามแล้วเกิดความไม่สบายใจ เมื่อได้รับคำตอบว่า วงเงินดังกล่าวเป็นเงินของเจ้าของงบประมาณ คือ สำนักเลขานุการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เปิดบัญชีไว้ ดังนั้นเงินส่วนนี้ไม่ต้องคืน สิ่งที่ต้องคืนเพียงดอกเบี้ยที่เกิดจากวงเงินนี้เท่านั้น


 


"เท่ากับงบนี้สำนักเลขานุการนายกรัฐมนตรีจะเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเห็นว่าจำเป็น ซึ่งอันตรายมากถ้าเป็นรัฐบาลที่อยากนำไปใช้เพื่อการหาเสียงโดยไม่ผ่านสภา กรรมาธิการจึงตั้งข้อสังเกตและมีความเห็นให้งบประมาณในโครงการอยู่ดีมีสุข และงบที่เกี่ยวกับโครงการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจทั้งหมด คืองบสองก้อนประมาณ 18,000 ล้านบาท กับ 4,950 ล้านบาท ถูกชะลอการพิจารณาไว้ทั้งหมด เพื่อให้สำนักงบประมาณและรัฐบาลชี้แจงเงินทีเหลือจ่ายในส่วนนี้ โดยรัฐบาลต้องชี้แจงถึงการนำเงินส่วนนี้ไปใช้อย่างไร ในการพิจารณางบประมาณของปีที่แล้วรัฐบาลนี้ได้ตั้งข้อสังเกตการใช้งบประมาณของรัฐบาลในอดีตว่ามีการใช้งบกลางไปใช้ในทางที่ไม่โปร่งใสตรวจสอบไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลนี้จะต้องชี้แจงด้วยว่าสิ่งที่ทำมาถือว่าย้อนร้อยรัฐบาลเดิมหรือไม่ โดยรัฐบาลต้องชี้แจงการใช้เงินและตามเอาเงินที่เหลือกลับมา" นายอรรคพล กล่าว


 


ส่วนการพิจารณางบประมาณกันสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น นายอรรคพลกล่าวว่า งบประมาณสำหรับการกั้นสำรองฉุกเฉิน เดิมมีการกั้นไว้ 41,000 ล้านบาท ขณะนี้กันสำรองไปแล้วประมาณ 31,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปแล้ว 30 โครงการ จึงน่าจะมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยกรรมาธิการตั้งข้อสังเกตว่างบประมาณสำหรับการสำรองจ่ายบางโครงการไม่สมควรรวมอยู่ในงบประมาณส่วนนี้


 


นอกจากนี้ยังมีความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายจากกรณีเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย กรรมาธิการจึงมีความเห็นให้ชะลองบประมาณในส่วนนี้ออกไปจนกว่าจะได้รับการชี้แจงรายละเอียดของสำนักงบประมาณและรัฐบาล


 


นายอรรคพล กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณในส่วนของการขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเงินโบนัสกรรมาธิการได้ตั้งข้อสังเกตในส่วนของการพิจารณาผลตอบแทนหรือเงินโบนัสโดยเสนอให้หาแนวทางให้ข้าราชการระดับล่างมีโอกาสได้รับประโยชน์มากขึ้น


 


 


 


ที่มา: เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net