Skip to main content
sharethis

วานนี้ ที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสทร.) ได้มีการแถลงข่าวเนื่องใน เพื่อเป็นสรุปสถานการณ์สิทธิแรงงานข้ามชาติ โดย คสทร. ได้เผยแพร่เอกสาร "วันแรงงานข้ามชาติสากล 18 ธันวาคม 2550 "หนึ่งปีที่ผ่านมา: สนธิสอบไม่ผ่านในฐานะประธานกบร." มีเนื้อหาสรุปสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติในรอบปีที่ผ่านมา และวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล และ ลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


 


วันแรงงานข้ามชาติสากล 18 ธันวาคม 2550
"หนึ่งปีที่ผ่านมา: สนธิสอบไม่ผ่านในฐานะประธานกบร."


ในรอบปีที่ผ่านมาพวกเราคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย องค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงานข้ามชาติ พบว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) ได้นำนโยบายที่เน้นความมั่นคง ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวพันกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยมาใช้เป็นแนวทางหลักในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ แนวทางดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การควบคุมแรงงานข้ามชาติมากกว่าการมองแนวทางการจัดการระยะยาว เพื่อสร้างสังคมสมานฉันท์ของการอยู่ร่วมกันขึ้นมา


ในแง่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับพื้นที่ พบว่านโยบายดังกล่าวส่งผลให้แรงงานข้ามชาติได้รับผลกระทบในแง่ลบมากกว่าเดิม เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนใช้อำนาจในการแสวงหาผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้น การเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น บริการด้านสุขภาพ การศึกษา เป็นไปอย่างยากลำบาก


ขณะเดียวกันกลไกที่ใช้ในการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติในฐานะที่เป็นผู้ใช้แรงงานกลับไม่เอื้ออำนวยต่อการคุ้มครองแรงงาน เช่น กรณีที่แรงงานประสบอุบัติเหตุจากการทำงานไม่สามารถเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนได้โดยตรง รวมทั้งการเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิที่แรงงานข้ามชาติยังไม่สามารถเข้าถึงได้มากนัก และหลายครั้งที่กลไกการคุ้มครองใช้ระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน


พวกเราพบว่ามีเหตุการณ์และประเด็นต่างๆที่เป็นข้อล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดนี้ ดังนี้


 


(1) จากแนวนโยบายความมั่นคงระดับชาติสู่ความมั่นคงในระดับจังหวัด


            จากแนวนโยบายทางการเมืองในระดับประเทศที่มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงแห่งรัฐ ส่งผลต่อนโยบายเรื่องการจัดการแรงงานข้ามชาติในระดับพื้นที่ กล่าวคือ ในช่วงปลายปี 2549 และต้นปี 2550 ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ระยอง พังงา และภูเก็ต ได้ออกประกาศจังหวัดในการควบคุมแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ โดยมีเนื้อหาห้ามมิให้แรงงานข้ามชาติดำเนินการในบางประเด็น เช่น การห้ามออกจากที่พักอาศัยหลัง 20.00 น. การห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ  การห้ามรวมกลุ่มเกินห้าคน  ประกาศดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งการดำเนินชีวิตประจำวันและต่อการทำงานเชิงรุกในเรื่องของการบริการสุขภาพขององค์กรพัฒนาเอกชนในบางพื้นที่ รวมถึงเป็นการเปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนได้มีโอกาสใช้อำนาจในทางมิชอบเอาเปรียบแรงงานข้ามชาติ


ระยะเวลาต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้ทำจดหมายเวียนภายในจังหวัดในเรื่องของการควบคุมดูแลแรงงานข้ามชาติและไม่สนับสนุนให้มีกิจกรรมด้านวัฒนธรรมในกลุ่มแรงงาน คำสั่งดังกล่าวได้สร้างความหวั่นวิตกและความกังวลใจต่อตัวแรงงานข้ามชาติ และคนในชุมชนพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่อยู่ร่วมกับแรงงานข้ามชาติมาเป็นเวลานาน เนื่องจากชุมชนในพื้นที่สมุทรสาครหลายชุมชนเป็นชุมชนคนไทยเชื้อสายมอญที่มีวัฒนธรรมเดียวกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติดังกล่าว แนวนโยบายที่เกิดขึ้นจึงไม่สอดคล้องต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ และไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์


นอกจากนั้นแล้วเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมาพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงกรณีของการพบแรงงานหญิงข้ามชาติตั้งครรภ์และคลอดบุตรในประเทศไทยว่า แรงงานหญิงกลุ่มนี้จะต้องกลับไปคลอดบุตรในประเทศบ้านเกิด และห้ามครอบครัวเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย


            ขณะเดียวกันในระดับประเทศ การดำเนินการทางการเมืองที่มีการพยายามผลักดันพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประเด็นเรื่องแรงงานข้ามชาติก็กลายเป็นข้ออ้างหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาสนับสนุนให้เกิดการออกกฎหมายฉบับดังกล่าว การหยิบยกเอาประเด็นแรงงานข้ามชาติมาสร้างวาระทางการเมืองเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดการตอกย้ำประเด็นเรื่องแรงงานข้ามชาติให้มุ่งไปสู่แนวทางที่ต้องเน้นการควบคุมมากขึ้น ซึ่งดูจะสวนทางกับแนวทางการพยายามแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติในแบบองค์รวมที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำให้สังคมไทยมีทัศนคติหรือมุมมองที่เป็นลบต่อสถานการณ์แรงงานข้ามชาติ มากกว่าการทำความเข้าใจอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับสถานการณ์ในยุคโลกาภิวัฒน์


 


(2) กลไกการคุ้มครองสิทธิที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงของแรงงานข้ามชาติ


ในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติพบว่าแรงงานที่ถูกละเมิดสิทธิแรงงานหรือประสบอุบัติเหตุจากการทำงานยังไม่สามารถเข้าถึงการคุ้มครองสิทธิของตนเองได้ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานนั้นได้ให้การคุ้มครองแรงงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบหรือการละเมิดสิทธิแรงงาน  นอกจากนั้นยังพบว่างานบางประเภทที่แรงงานข้ามชาติทำงานยังไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควร เช่น งานรับใช้ในบ้าน เกษตรกรรม ประมงทะเล ทั้งๆที่งานเหล่านี้บางประเภทเป็นงานที่หนักและมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอยู่มาก


อีกปัญหาหนึ่ง คือ แรงงานข้ามชาติซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำงานได้ชั่วคราวยังไม่สามารถเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนได้โดยตรง ทำให้แรงงานข้ามชาติที่ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานต้องรอรับเงินทดแทนที่ตนเองจะต้องได้รับผ่านทางนายจ้างเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบไปอยู่ที่การต่อรองระหว่างลูกจ้างซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยกับนายจ้างที่มีอำนาจต่อรองมากกว่า ย่อมทำให้โอกาสที่แรงงานจะได้รับเงินทดแทนตามความเป็นจริงเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของกองทุนที่ต้องการสร้างหลักประกันความปลอดภัยให้แก่แรงงาน


นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าการดำเนินการคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติตามกระบวนการยุติธรรมด้านแรงงานใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน บางกรณีใช้ระยะเวลายาวนานเกือบสองปี ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพการจ้างแรงงานข้ามชาติที่มีระยะเวลาในการอนุญาตทำงานเพียงปีต่อปีเท่านั้น รวมทั้งยังง่ายต่อการถูกเลิกจ้างและผลักดันกลับประเทศในระยะเวลาอันสั้น


การไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิด้านแรงงานของแรงงานข้ามชาตินั้น มิได้เกิดผลกระทบต่อตัวแรงงานข้ามชาติเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการคุ้มครองแรงงานทั้งระบบ เพราะจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นทางเลือกของนายจ้างที่จะใช้ช่องว่างเหล่านี้จ้างงานแบบกดขี่ต่อแรงงานข้ามชาติ แทนที่จะปรับปรุงสภาพการจ้างงานให้เอื้อต่อแรงงานไทยที่จะเข้ามาทำงานด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net