Skip to main content
sharethis





หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เขียนโดยทวิช จิตรสมบูรณ์ ผู้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน และ เสาร์ ที่ 14 มิถุนายน 2551 โดยประชาไทคาดหวังว่าจะได้ทำหน้าที่เป็นเวทีแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์ต่อไป ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตและเตรียมพร้อมสำหรับปฏิกิริยาสะท้อนกลับแล้ว เมื่อเลือกส่งงานชิ้นนี้ให้ประชาไท พร้อมคำอธิบายว่า "ผมจำต้องอยู่กับฝ่ายสีเหลือง ณ วันนี้ เพราะผมเห็นว่าแดงมันแดงปลอม ขาวก็ไร้เดียงสา อุดมคติเกินไป ไม่ทันการณ์ ส่วนเหลืองแม้ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่ก็เลวน้อยที่สุด……ขออภัยที่ทำให้ขัดเคือง"


 



ทวิช จิตรสมบูรณ์


 


สวัสดีครับ ลุงป้าพ่อแม่พี่เพื่อนน้องลูกหลานที่รักทุกท่าน


 


ผมได้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯเป็นครั้งแรกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ เที่ยงคืนครึ่ง และครั้งที่สองเมื่อวันเสาร์ที่ 14 แต่ทั้งสองครั้งนั้นเวลาปราศรัย 15 นาทีที่ได้รับจัดสรรนั้นมันไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก จึงขอนำมาเสนอโดยบทความเพื่อเสริม "สักเล็กน้อย"


 


 ในการปราศรัยผมได้ฝากประเด็นไว้ว่า เราควรจะกู้ชาติกันอย่างน้อยใน 4 ประเด็นดังนี้


 



  1. กู้ชาติทั้งที ขอให้วางมาตรการเพื่อทำให้นักการเมือง "เส็งเคร็ง" หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และทำให้นักการเมืองดีๆ ได้เข้ามาสู่การเมืองไทย เพื่อเป็นยอดในการนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญ
  2. กู้ชาติทั้งที ขอให้กำหนดนโยบายและวางมาตรการเพื่อนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของต่างชาติ
  3. กู้ชาติทั้งที ขอให้กำหนดนโยบายและวางมาตรการเพื่อทำให้ระบบการศึกษาไทยเข้มแข็งและก้าวหน้า จนสามารถเป็นรากฐานนำพาชาติไปสู่ความเป็นอารยะได้
  4. กู้ชาติทั้งที ขอให้กำหนดนโยบายและวางมาตรการเพื่อทำให้เกษตรกรรมไทยเป็นรากฐานในการพัฒนาชาติ

 


ในคราวปราศรัยผมมีเวลาเพียง 15 นาที จึงต้องลนลานรีบพูดได้เพียงกระจิ๋วเดียว เพราะนอกจากจะต้องนำเสนอเนื้อหาอันหนักอึ้งแล้ว ยังต้องเสียเวลาไปสร้างบรรยากาศด้วยการแอบยิกทักษิณ เหลิม และหมัก ไปตลอดทาง ทั้งสี่หัวข้อที่ว่ามานี้ให้เวลาผมพูดสัก 15 ชม. ก็คงไม่หมด อย่าว่าแต่ 15 นาทีเลยครับ


 


เอาหละ...ผมจะลองขยายความประเด็นที่ 1 เรื่องระบบการเมืองไทยสักเล็กน้อย


 


ผมได้ตกผลึกความคิดมาได้สัก 15 ปีที่ผ่านมาแล้ว เมื่อตอนที่ผมมีอายุประมาณ 37 ปีว่า ลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทยเราต่างจากฝรั่งอย่างสิ้นเชิง คือฝรั่งมีนิสัยอิงตน (individualism) แต่ไทยเรามีนิสัยอิงกลุ่ม (groupism...มันคงไม่มีในพจนานุกรมหรอก..ผมตั้งเอง) นิสัยอิงตนทำให้ฝรั่งกล้าคิด กล้าทำ กล้าท้าทายอำนาจรัฐ จึงพัฒนาระบบประชาธิปไตย (ปชต. ) ขึ้นมาตามลักษณะอิงตนนั้น คือต้องมี "การเมืองภาคประชาชน" คอยกำกับดูแลปชต.ในภาพรวมด้วย ผนวกกับหลักศาสนาของเขาที่สอนว่าทุกคนเกิดมาต่างก็มีความชั่วติดตัวเป็นกรรมเก่ามาแต่กำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น หลักศาสนาเขาเรียกความชั่วนี้ว่า "บาปดั้งเดิม" (original sin) ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างระบบ ปชต. แบบ "คานอำนาจ" กัน โดยเชื่อว่าถ้าความชั่วคานอำนาจกันก็จะเกิดระบบที่ "ชั่วน้อยที่สุด" นั่นแล แถมถ้าเอาความชั่วมวลรวมของพวกเขาทุกคนเข้าไปร่วมคานอำนาจด้วย ในนามของ"การเมืองภาคประชาชน" ก็จะยิ่งทำให้ชั่วน้อยลงไปอีก


 


และแล้วนักวิชาการประชาธิปไตยไทยก็ลุ่มหลงในระบบ "ชั่วน้อยที่สุด" นี้ไปตามๆกันเหมือนต้องมนต์สะกด โดยหาได้สำเหนียกไม่ว่าปชต.ตะวันตก (ปชต.ตต) แต่เดิมมานั้นเริ่มต้นก็มาจากแนวคิดชั่วเสียแล้ว ไม่ได้เลิศลอยน่าเทิดทูนอะไรหนักหนาหรอก คือเกิดจากพวกกรีกกรุงเอเธนส์จะอดอาหารตายและหรืออาจถูกบุกโจมตีฆ่าตายพร้อมๆกัน ก็เลยคิดหาวิธีอยู่รอดด้วยการหลอกด้วยเพทุบายให้พวกหัวเมืองรอบๆ 12 หัวเมือง ที่รบพุ่งกันมานาน มารวมตัวกันเป็นพันธมิตรประชาธิปไตย ส่งผู้แทนมาร่วมกันเป็นพันธมิตรรัฐสภา นี่คือสิ่งที่ผมแอบลอดคิดเห็นลอดระหว่างตัวหนังสือในบันทึกประวัติศาสตร์ตะวันตก (ที่ผู้ชนะคือผู้บันทึก...จะให้สวยหรูอย่างไรก็ได้...และคราวนั้นเอเธนส์คือผู้ชนะ) มันเป็นบันทึกสวยหรูที่นักวิชาการ ปชต. เทศ (และแน่นอน "ไทย" เราด้วย) ต่างกราบไหว้บูชากันหนักหนาว่า ปชต.ตต. คือจิตวิญญาณอันสูงส่ง


 


ตกมาถึงอังกฤษ ได้ก่อตั้งระบบปาร์เลียเมนต์ (parliament) ที่ถือกันว่าเป็นต้นแบบปชต.สมัยใหม่ แต่ในความเห็นผมก็ไม่ได้ต่างอะไรกันในเชิงหลักการเลยกับกรีกโบราณ เพราะที่ตั้งขึ้นมานี้ก็เพื่อ"ความอยู่รอด"ของราชวงศ์อังกฤษ ไม่ได้มีจิตวิญญาณปชต.อันศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเทิดทูนแต่ประการใด ความอยู่รอดที่ว่าก็คือบรรดาเจ้าครองแคว้น นคร ต่างๆมีจำนวนมาก มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันมากในเรื่องเขตแดน การจัดเก็บภาษี การเกณฑ์แรงงาน ก็เลยไม่ยอมลงต่อลอนดอน เกิดการกบฎ หรือ ร่วมหัวกันกบฏเนืองๆ  ลอนดอนก็เลยต้องคิดแบบกรีกโบราณด้วยการ "รวมกลุ่มแล้วปกครอง" ด้วยการตั้งปาร์เลียร์เมนต์ขึ้นมาให้เป็นที่ระบายความโกรธแค้นของประดาเจ้าครองแคว้นเหล่านั้น ซึ่งคนเราลองถ้าได้ระบายความโกรธแล้วมันก็หมดกำลังในการกระทำการกบฏไปเกือบหมดแล้ว


 


ที่ผมบรรยายมาเสียเมื่อยนิ้วจิ้มแป้นนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า เราอย่าไปหลงเทิดทูนบูชาปชต.ตต.กันนักเลย มันก็วิวัฒน์มาด้วยแนวคิดของคนชั้นสูงที่กำลังจะเสียประโยชน์ไม่กี่คนเท่านั้นเอง ตามความโลภโกรธหลงที่ชักนำไป มันไม่ได้มีพื้นฐานมาจากเสียงสวรรค์แห่งประชาชนตามที่นักปราชญ์ฝรั่งเศสยุค คศ. 1789 จะได้ปั้นวลีหรูมาให้เราหลงเชื่อไม่ เพราะยุคปฏิวัติฝรั่งเศสนั้นเป็นกรณีเฉพาะกิจที่บ่มเพาะมาตามวิวัฒน์ของสังคมนั้นและในขณะนั้น เราไม่อาจเอามาใช้ในกรณีทั่วไปได้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทยในขณะนี้ ที่ลักษณะทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมต่างจากอังกฤษฝรั่งเศสเยอรมันอเมริกาทั้งในขณะโน้นและขณะนี้อย่างสิ้นเชิง


 


เมื่อคิดได้ดังกล่าว ดังนั้นเมื่อประมาณสัก 15 ปีมาแล้วผมจึงคิดต่อไปว่าสังคมไทยเราจักต้องสร้างระบบ ปชต. ขึ้นมาใหม่ ที่ต่างไปจาก ปชต.ตต. ทั้งนี้เพราะลักษณะนิสัยของประชาชนไทยและลักษณะทางสังคมไทยต่างจากฝรั่งโดยสิ้นเชิง ผมได้เรียกระบบนี้ว่า ประชาธิปไตยแบบภูมิปัญญาไทย (Indigenous-Thai Democracy) ซึ่งความจริงแล้วสังคมไทยแต่บุพกาลก็ได้มีรากฐานปชต.มาพอสมควรแล้ว หาใช้ว่าเราจะสิ้นไร้ไม้ตอกทางด้านนี้ จะว่าไปแล้วไทยโบราณเรามีจิตวิญญาณ ปชต. สูงส่งกว่าฝรั่งโบราณในหลายเรื่อง เช่น


 























ฝรั่ง


ไทย


ห้ามผู้หญิงสูบบุหรี่ กินเหล้า


ผู้หญิงกินเหล้า สูบบุหรี่ กินหมาก พลู ได้ทัดเทียมชาย


ผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งนอกบ้านและในบ้าน ผู้ชายเป็นคนบริหารการเงินในบ้าน


ผู้ชายเป็นใหญ่นอกบ้าน แต่ในบ้านผู้หญิงเป็นใหญ่ เป็นคนบริหารการเงินในบ้าน


แม้ คศ. 1950 ในอเมริกาก็ยังห้ามผู้หญิงเข้าเรียนมหาลัย


ไทยเราให้สิทธิการเรียนหญิงชายเท่าเทียมกันแต่แรกก่อนคศ. 1950 เสียอีก


ผู้หญิงเก่งด้านศาสนา ถูกหาว่าเป็นแม่มด (witch) ถูกจับเผาทั้งเป็นนับแสนคน


ผู้หญิงเก่งด้านศาสนา ถูกหาว่าเป็น "เจ้าแม่" (demi-goddess) ได้รับการกราบไหว้ทั่วแผ่นดิน


 


 


ดังนั้นเรื่อง universal suffrage นั้น ไทยเรามีมาก่อนฝรั่งนานนักหนา ควรเลิกบูชาฝรั่งในเรื่องนี้กันได้แล้ว


 


ผนวกกับคำสอนด้านศาสนาของเรา ซึ่งโดยพื้นฐานคือศาสนาพุทธ ก็ต่างจากคำสอนด้านศาสนาของฝรั่งมาก คือแทนที่จะสอนว่าเราทุกคนมีบาปดั้งเดิม (original sin) กลับสอนเป็นตรงข้ามว่า เราทุกคนมี บุญดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ หรือ ความเป็นพุทธะ (ผู้รู้) อันเป็นประภัสสรอยู่แล้ว (ผมขอบัญญัติว่า original saint) กิเลศที่จรมาต่างหากเล่าที่ทำให้เราต้องมัวหมองลงชั่วคราว


 


เมื่อคิดปรัชญาสังคมไทยในองค์รวมได้ดังกล่าวแล้ว ทำให้ผมได้คิดว่า แทนที่เราจะสร้างปชต.ที่ให้ "คานอำนาจความเลว"กันแบบฝรั่ง ทำไมเราไม่สร้างปชต.ที่ "เสริมความดีงาม" กันระหว่างองคาพยพต่างๆ ของปชต.เล่า บัดนั้น แต่ 15 ปีที่ผ่านมา ผมได้คิดออกตามประสาของผมแล้ว จึงจะขอโอกาสนำเสนอไว้ให้เป็นทางเลือกสำหรับสังคมไทยเราต่อไป


 


เฮ้อ..นี่ยังไม่เข้าประเด็นเลยนะครับเนี่ย ก็หมดเวลา (ของผม) เสียแล้ว ต้องไปเตรียมการสอนวิจัยต่อนะครับ บทความวิจัย โครงร่างวิทยานิพนธ์ และวิทยานิพนธ์ ด้านวิศวกรรมศาสตร์กองพะเนินให้อ่านตรวจทาน เอาไว้อ่านหมดกองแล้วจะมาเม้าท์ต่อนะครับ


 


สวัสดีตอนนี้เพียงเท่านี้ก่อนคร้าบ...พ่อแม่พี่น้อง (ขึ้นเสียงสูง และโบกมือไปมา ด้วยความอ่อนล้า ท้อแท้ และห่อเหี่ยว ในอนาคตของประเทศไทย)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net