Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ชำนาญ จันทร์เรือง


 


พลันที่ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้คุณสมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นตำแหน่งเพราะเหตุไปทำกับข้าวออกรายการโทรทัศน์ด้วยข้อหาว่ากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 267 ที่ว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดมิได้


 


จากการอ่านคำวินิจฉัยที่มีความยาวเกือบ 45 นาที ที่ผลัดกันอ่านอย่างตะกุกตะกัก ไม่มีคำควบกล้ำชนิดที่อาจารย์ภาษาไทยแทบจะกลั้นใจตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด หลายคนโห่ร้องด้วยความยินดี หลายคนตกใจในผลของคำวินิจฉัยที่กระทำด้วยความรวดเร็วเป็นพิเศษ(ขอย้ำว่าเป็นพิเศษจริงๆ) และยิ่งเมื่อดูเหตุผลประกอบคำวินิจฉัยแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคำอธิบายของศาลที่ได้คำวิจฉัยถือเป็นที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้อีกแล้ว


 


สำนักข่าวหลายๆประเทศให้ความเห็นว่าค่อนข้างแปลกใจต่อเหตุผลของคำวินิจฉัยฯเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น CNN หรือ Yahoo  แม้แต่สำนักข่าว INN ของไทยเราก็รายงานข่าวทางเอสเอ็มเอสว่า "นักกฎหมายอเมริกันบอกโคตรฮา นายกฯไทยทำกับข้าวจนหลุดตำแหน่ง ขำที่สุดในโลก"


 


อย่างไรก็ตามเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว เราก็ต้องยอมรับ เพราะไม่เช่นนั้นสังคมจะหาข้อยุติไม่ได้ แต่แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการโดยสุจริตย่อมสามารถที่จะกระทำได้ ทั้งนี้ เพื่อความเจริญงอกงามทางวิชาการนั่นเอง


 


ในคำอธิบายตอนแรกที่เท้าความว่า ศาลได้นำเอาจริยธรรมมาตีความเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าไม่ต้องการให้เกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะนั้นผมเห็นด้วย แต่การที่บอกว่าไม่ควรตีความตามประมวลกฎหมายแพ่งฯกฎหมายแรงงานฯหรือประมวลรัษฎากรฯ แต่กลับนำคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานมาใช้แทน นั้น ผมไม่เห็นด้วย


 


ที่ผมไม่เห็นด้วยกับการตีความเช่นนี้ก็เพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญควรตีความอย่างจำกัดเพราะเป็นการตีความที่มีผลเป็นโทษต่อผู้ที่ได้รับผลแห่งการตีความ และการตีความนั้นนั้นควรที่จะต้องตีความตามความเข้าใจของวิญญูชนทั่วไปที่เข้าใจตามหลักกฎหมายแพ่งฯ กฎหมายแรงงานฯและประมวลรัษฎากรว่าลูกจ้างคือผู้ที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นประจำ และในกรณีนี้คุณสมัคร(ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบแกเลย)เมื่อเห็นว่ามีปัญหาก็ได้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้วซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาว่ามิได้จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เหตุแห่งการฟ้องคดีก็น่าจะหมดไปแล้ว


 


แม้จะไม่ถือว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีหมดไปแต่ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ต้องได้รับการลงโทษให้พ้นตำแหน่งไป แต่ทว่าก็ยังสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งใหม่ได้อีกอยู่ดี(ถ้าไม่เจอแรงต้านเสียก่อน) ซึ่งหากมองในแง่ของความศักดิ์สิทธิ์ของการบังคับใช้กฎหมายแล้วแทบจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เลย


 


การวางบรรทัดฐานเช่นนี้ย่อมที่จะสร้างความยุ่งยากตามมาต่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีอีกมากมาย อาทิ การไปเป็นอาจารย์หรือผู้บรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชน หรือการเป็นเป็นคอลัมน์นิสต์หรือนักเขียนโดยไม่ว่าจะใช้ชื่อจริงหรือนามแฝงก็ตามก็ย่อมเข้าข่ายการเป็นลูกจ้างตามที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีคุณสมัครทั้งสิ้น


 


ส่วนคำอธิบายที่ว่าคุณสมัครมีพิรุธส่อแสดงว่าเป็นการสร้างหลักฐานย้อนหลังเพื่อปกปิดข้อเท็จจริง(ซึ่งก็อาจเป็นจริงตามคำอธิบายนั้น) ซึ่งผมก็ค่อนข้างแปลกใจว่าโดยทั่วไปแล้วศาลก็มักจะใช้ว่า  "ฟังไม่ขึ้น" หรือ "รับฟังไม่ได้" ฯลฯ แต่ถึงขนาดวินิจฉัยว่าเป็นการสร้างหลักฐานย้อนหลังก็ควรจะต้องมีการดำเนินคดีตามมาแล้วล่ะครับ


 


คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มาตรา 216 วรรคห้าของรัฐธรรมนูญจะ บัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี  ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ก็จริงอยู่ แต่การยอมรับนับถือในเหตุผลของคำวินิจฉัยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถอธิบายให้แก่วิญญูชนทั่วไปให้การยอมรับมากน้อยแค่ไหน เพียงใด นั่นเอง


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net