Skip to main content
sharethis

การเมือง


โฆษก ทบ.ติงกำลังพลร้องนายกฯ ข้ามขั้นตอน


ไทยรัฐ-ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (11 ก.พ.) กรณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มอบนโยบายการปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้แม่ทัพทั้ง 4 ภาคดำเนินการเสริมสร้างอุดมการณ์ของกำลังพลให้เป็นโครงการนำร่อง ว่าต่อมา พล.ท.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) นำโครงการดังกล่าวมาใช้ทดลองกับกำลังพลที่ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนเวลาการปฏิบัติงานจากเดิมที่ข้าราชการทหารจะปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนถึงเวลา 16.30 น. มาเป็น 08.00 น. จนถึง 16.00 น. เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ย. 2551


 


ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ต่อมาในเวลา 08.00 น.ของทุกวัน กำลังพลของ นปอ. ต้องเข้าแถวร้องเพลงชาติ และปฏิญาณตน โดยเฉพาะในเรื่องของความรักความสามัคคี รวมถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกองทัพ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากได้ทดลองมาระยะหนึ่ง มีกำลังพลบางส่วนเกิดความอึดอัดใจต่อนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก และ ผบ.นปอ. ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรง จึงได้นำเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื้อหาข้อร้องเรียนระบุผลกระทบจากการเลื่อนเวลาการปฏิบัติงานจาก เดิมเข้างานในเวลา 08.30 น.. มาเป็นเวลา 08.00 น. ทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของกำลังพลและบุตรหลานด้วย


 


พ.อ.โชติอนันต์ ทรัพย์หิรัญ รองผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) หนึ่งในหน่วยขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่ต้องการเสริมสร้างและส่ง เสริมอุดมการณ์รักชาติให้เกิดขึ้นภายในหน่วยทหาร โดยผู้บังคับบัญชาและผู้อำนวยการของหน่วยได้ประชุมและยินดีที่จะดำเนิน โครงการดังกล่าว เพราะถือเป็นโครงการที่ดีและสนับสนุนให้กำลังพลเกิดความรักความสามัคคี


 


"กองพล ปตอ.สอบถามกำลังพลแล้ว กำลังพลบอกว่าสามารถเข้าทำงานได้ ไม่ได้บังคับหรือเข้มงวดกับกำลังพล หากไม่เห็นด้วยทางหน่วยก็ไม่สามารถไปบังคับได้ หน่วยมีเหตุมีผลและอนุญาตให้กำลังพลมีอิสระในความคิดอยู่แล้ว หากกำลังพลไม่เห็นด้วย หน่วยก็คงไม่ลงโทษอะไร ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีกำลังพลไปร้องเรียน โครงการนี้ ถือเป็นโครงการทดลองเท่านั้น มีการเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติไทยทุกวัน หลังจากนั้น จะให้กำลังพลปฏิญาณตนในเรื่องของความรักชาติ และความจงรักภักดีต่อสถาบัน และทุกวันศุกร์จะมีการสวดมนต์เพื่อเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย" รองผู้บัญชาการกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน กล่าว


 


ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงกับประเด็นที่กำลังพลของ นปอ. ไปร้องเรียน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หากมีเรื่องดังกล่าวจริง กำลังพลน่าจะไปร้องกับหน่วยหรือแจ้งผู้บังคับบัญชารับทราบ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่อะไรก็จะไปร้องเรียนชนิดข้ามขั้นตอน อย่างนี้ คงไม่ถูกต้อง


 


"ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการในที่ประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกเมื่อหลายสัปดาห์ เพื่อให้กำลังพลไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาสถาบันไม่ให้ใครหมิ่น อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาต่างๆ ทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกันทำให้เกิดความสงบสุข กองทัพบกคงไม่สามารถทำอะไรได้เพียงฝ่ายเดียว" โฆษกกองทัพบก กล่าว


 


 


สภาผ่านม.3งบกลางปี-คลังรายได้ต่ำเป้า10%


กรุงเทพธุรกิจ - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งมีการพิจารณามาตรา 3 ยอดรวมงบประมาณทั้งหมดจำนวน 116,700,000,000 บาท โดยกรรมาธิการเสียงข้างน้อยจากพรรคเพื่อไทยได้อภิปรายโจมตีการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯของรัฐบาลตลอด 7 ชั่วโมง


 


ส.ส.รับบาลได้กล่าวโจมตีรัฐบาล ทั้งเรื่องความเหมาะสมการเพิ่มรายจ่ายและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล รวมถึงการกู้เงิน


 


ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯชี้แจงว่ายอมรับว่าการตั้งงบขาดดุลนั้นตั้งมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา และการกู้ยืมเงินจากญี่ปุ่นที่นายกฯไปปรึกษาหารือ ก็เป็นโครงการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อส่งเสริมสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาหลายรัฐบาลหลายสมัย เพื่อทำโครงการรถไฟฟ้าสีแดง ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มตั้งแต่ 1 ส.ค. 2549


 


ดังนั้นไม่ควรแปลกใจในการที่รัฐบาลยืนยันโครงการนี้ เพราะแม้รัฐบาลนี้จะไม่ได้เป็นคนริเริ่มใดๆแต่ก็พร้อมที่จะสอนต่อ ส่วนเรื่องงบกลางปีหรืองบชดเชยการใช้เงินคงคลัง รัฐบาลชุดปัจจุบันได้เข้ามารับผิดชอบ ซึ่งภายใน 45 วันหันไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา น้ำลดตอก็ผดทุกที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรต่างๆซึ่งวิธีที่รัฐบาลใช้แก้ไขปัญหาคือการใช้เงินงบประมาณ


 


นายกรณ์ชี้แจงต่อว่า ส่วนเรื่องระดับรายได้ที่บอกว่าจะจัดเก็บงบประมาณได้ต่ำกว่าเป้านั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งคาดว่ารายได้รัฐบาลจะต่ำกว่าประมาณการ 10 %


 


จากนั้นเวลา 17.20 น.ที่ประชุมสภาฯได้ลงมติรับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมฯในมาตราที่ 3 โดยยังคงจำนวนงบประมาณทั้งหมดไว้ 116,700,000,000 บาท โดยไม่มีการปรับลด ด้วยเสียง 237 เสียง ไม่เห็นด้วย 113 เสียง


 


 


ฝ่ายค้านชำแหละงบกลาง จัดสรรเหลื่อมล้ำส่อขัดรธน.


ไทยรัฐ - ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. วันนี้ (11 ก.พ.) การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ในวาระ 2 และ 3 เพื่อให้ความเห็นชอบ จำนวน 23 มาตรา จนถึงขณะนี้พิจารณาได้เพียง 2 มาตรา โดยมาตรา 4 ว่าด้วยงบกลาง ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ฝ่ายค้านเน้นไปที่ความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ให้เฉพาะประชาชนบางกลุ่มว่าขัดรัฐธรรมนูญว่าด้วยความเท่าเทียมกันในสังคม และอาจมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายฉบับนี้ด้วย


 


ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การอภิปรายงบประมาณดังกล่าวมีแนวโน้มจะไม่แล้วเสร็จภายในคืนนี้ เนื่องจากมีผู้สงวนคำแปรญญัตติขออภิปรายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรา 6 งบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศมีผู้ประสงค์ขออภิปรายมากที่สุด เพราะเชื่อว่ามีความพยายามจะเชื่อมโยงไปที่การอภิปรายนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการการต่างประเทศ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการชุมนุมปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้นเหตุทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการอภิปรายต่อในเช้าวันพรุ่งนี้


 


 


แดงทวงคดียิงรถ-อโศกรุกป่า-พกบึ้มปิงปอง


กรุงเทพธุรกิจ -กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 30 คน นำโดย น.ส.กัญญาภัค มณีจักร รวมตัวที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทวงถามคำตอบภายหลังเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้ยื่นหนังสือเรียกร้องขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตรวจสอบกรณีการใช้พื้นที่ของพุทธสถาน "ภูผาฟ้าน้ำ" ที่ตั้งสำนักธรรมของกลุ่มสันติอโศก ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง มีการบุกรุกใช้พื้นที่อย่างผิดกฎหมายหรือไม่ และเรียกร้องให้ย้ายนายตำรวจที่ยิงปืนเข้าใส่รถของสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงขณะฝ่าด่านเข้าไปบุกไล่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่หน้าหอประชุม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คืนวันที่ 24 ม.ค.


 


นอกจากนี้ ยังอ้างทวงถามเพิ่มเติม คือความคืบหน้าการดำเนินคดีวัยรุ่นสมาชิกกลุ่มทหารเสือพระราชาฯ ซึ่งถูกตำรวจจับกุมพบพกพาวัตถุระเบิดปิงปองหลายลูกบริเวณด้านหน้าสนามกอล์ฟลานนา พื้นที่ สภ.ช้างเผือก เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา


 


น.ส.กัญญาภัค กล่าวว่า เนื่องจากทางกลุ่มได้ยื่นหนังสือและแจ้งกับทางจังหวัดไว้แล้วว่าจะมาทวงหาคำตอบภายใน 5 วัน แต่ขณะนี้ล่วงเลยมาถึง 15 วัน ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ


 


หลังผู้ชุมนุมเดินทางมารอคำตอบประมาณ 30 นาที นายชุมพร แสงมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกมาพบผู้ชุมนุมและแจ้งว่าได้มอบหมายให้ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ซึ่งรับผิดชอบดูแลในเรื่องที่ร้องเรียนแต่ละด้านมาชี้แจงด้วยตัวเอง


 


พ.ต.อ.ปิยะบุตร อัจฉริยมงคล ผกก.สภ.ช้างเผือก กล่าวถึงกรณีจับกุมสมาชิกกลุ่มทหารเสือพระราชาฯ ที่พกพาวัตถุคล้ายระเบิดปิงปองบริเวณสนามกอล์ฟล้านนาว่า สาเหตุที่ใช้เวลาดำเนินการล่าช้า เนื่องจากประการแรก สิ่งที่วัยรุ่นนั้นพกมานั้นยังไม่รู้เป็นอะไรจะเป็นประทัดหรือวัตถุระเบิด ขณะนี้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดน ตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2551 และรับทราบผลว่าเป็นวัตถุระเบิดจริง ก็แจ้งข้อหาเพิ่มเติม


 


ประเด็นต่อมา คือ เด็กคนนี้อายุ 15 ปี 11เดือน ขณะเกิดเหตุต้องดำเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัว จ.เชียงใหม่ ต้องรอการสืบเสาะจากเจ้าหน้าที่สถานพินิจเด็กและยาวชน ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานแล้ว เตรียมจะสรุปสำนวนส่งให้อัยการศาลเยาวชนและครอบครัวพิจารณา ยืนยันว่าคดียังดำเนินอยู่ ไม่ได้หยุด


 


พ.ต.ท.ธลดล น้อยสุวรรณ รองผกก.สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงกดดันให้ย้ายตำรวจที่ยิงยางรถยนต์กลุ่มเสื้อแดงที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ว่าวันเกิดเหตุได้ตั้งกรรมการสืบสวน ร.ต.ต.ทรงกลด จอมใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ยิงยางแล้ว ผู้เสียหายคือนายพรชัย สุวรรณพิไชยศรี ขับรถยนต์ฝ่าด่านตำรวจมาสองด่าน ซึ่งด่านที่สามเจ้าหน้าที่ได้หันหลังให้ ร.ต.ต.ทรงกลดเห็นจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อยางรถยนต์ด้านหลังเพื่อรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่วิทยาการตรวจสอบแล้วยืนยันและนายพรชัยไม่ได้รับบาดเจ็บ


 


นอกจากนี้ วันรุ่งขึ้นได้ติดต่อให้นายพรชัยมาแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจนายดังกล่าว ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งก็ยินดีซ่อมแซมล้อรถให้ฝ่ายผู้เสียหาย ซึ่งไม่ติดใจเอาความ จึงได้ถอนความร้องทุกข์ไป


 


ส่วนเรื่องการทำเกินกว่าเหตุหรือไม่นั้นทางตำรวจภูธรอยู่ระหว่างการตั้งกรรมการตรวจสอบวินัย รวมทั้งกรณีที่เป็นหน่วยเก็บกู้ระเบิดแต่พกพาอาวุธ ก็มีการตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยแล้วเช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้บังคับการ จ.เชียงใหม่ว่าจะสั่งย้ายออกจากพื้นที่หรือไม่อย่างไร


 


ด้าน นายราเชนทร์ ภุมมะภูติ ผอ.ส่วนป้องกันและปราบปราม สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 กรมป่าไม้ ซึ่งดูแลป่าสงวนทั้งหมดในเชียงใหม่ กล่าวชี้แจงกรณีตรวจสอบพุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ สำนักสันติอโศก ต.ป่าแป๋ ว่า จากการไปรังวัดตรวจสอบพบพุทธสถานดังกล่าวมีการครอบครองทั้งหมด 97 ไร่ 2 งาน 96 ตารางวา ซึ่งวัดเบื้องต้นด้วยจีพีเอสจับ 25 จุดโดยรอบ มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของพุทธสถานภูผาฟ้าน้ำนำตรวจสอบ มีเอกสาร สค.1 จำนวน 10 ฉบับมาแสดง ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 63 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวา อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมด


 


ทั้งนี้ ป่าสงวนแห่งชาติแม่แตงประกาศปี 2515 แต่ สค.ออกเมื่อปี 2498 คือออกก่อนมีการประกาศพื้นที่ป่าสงวนฯ ดังนั้น ถ้ามีสค.ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็สามารถออกโฉนดได้สามารถอยู่อาศัยหรือขายได้ เจ้าหน้าที่ที่ดินจะต้องไปตรวจสอบอีกขั้นคือ สค.ทั้ง 10 ฉบับนั้นออกถูกต้องหรือตรงกับพื้นที่ระบุจริงหรือไม่


 


ส่วนที่ดินที่เหลืออีกส่วนหนึ่งพบมีใบตอบรับหรือใบหางตามมติ ครม. วันที่ 11 พ.ค.2542 มาแสดง ซึ่งมติครม.นี้บอกว่าใครบุกรุกป่าอยู่ให้มาแจ้งเพื่อทำการพิสูจน์สิทธิ ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าว นายยุทธนา คงสุข รวม 4 แปลงมาแจ้งการครอบครองเมื่อปี 2542 โดยอ้างว่าทำกินอย่างต่อเนื่อง มติครม.จึงได้ชะลอการจับกุมไว้ เพื่อให้ชาวบ้านรอพิสูจน์หากพบว่าอยู่ก่อนมติครม.ตามกฎหมายก็จะออกโฉนดให้


 


หลังกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ได้รับฟังคำชี้แจงจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว แกนนำได้ร้องขอเอกสารการครอบครองที่ดินของกลุ่มสันติอโศกเพิ่มเติม โดยอ้างว่าต้องการจะนำไปชี้แจงต่อมวลชน ส่วนประเด็นการย้ายตำรวจที่ยิงยางรถสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงที่หน้าหอประชุม มช.นั้น ทางกลุ่มเสื้อแดงจะไปยื่นเรื่องกดดันผ่านทางผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.เชียงใหม่ จากนั้นได้พากันแยกย้ายกันกลับ


 


 


'สุเทพ' มอบหมายผบ.ตร -ผบช.น.ดูแลเสื้อแดง14 ก.พ.นี้


ไทยรัฐ-ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ก.พ.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) มาพบที่อาคารรัฐสภา เพื่อมอบหมายการดูแลการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นการซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ที่ไม่ให้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำร้ายประชาชน หรือเจ้าหน้าที่


 


รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ จะไปรับฟังบรรยายสรุปการรักษาความปลอดภัยในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งจะมีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ประสานกับผู้ชุมนุม เพื่อไม่ให้จัดการชุมนุมระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เพื่อนึกถึงภาพลักษณ์และประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาลเคารพสิทธิการชุมนุม และมีมาตรการดูแลอย่างนุ่มนวล แต่ต้องไม่ให้เกิดปัญหา และผู้ชุมนุมไม่สามารถนำข้ออ้างที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมมาอ้างได้ เนื่องจากเป็นคนละรัฐบาล


 


 


"มาร์ค"เตรียมขึ้นศาลคดีหมิ่น"หมอมิ้งค์"12ก.พ.


มติชน-ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เวลา 09.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อฟังคำพากษาคดีที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพรรคประชาธิปัตย์,นายอภิสิทธิ์,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2549 นายสุเทพ และนายองอาจ ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เรื่องพรรคไทยรักไทย ว่า จ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 โดยระบุว่า มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทย อย่างน้อย 3 คน เป็นผู้บงการสั่งการ ให้มีขบวนการทุจริต


 


 


ศาลปค.ไม่รับฟ้องอดีตปลัดมท.ฟ้อง"มาร์ค-สุเทพ"


มติชน - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลโดยนายอดุลย์ จันทรศักดิ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง เจ้าของสำนวน มีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีที่ นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ อายุ 59 ปี อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกย้ายไปเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้อง คณะรัฐมนตรี ( ครม.) , นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 เรื่องออกคำสั่งโดยมิชอบ กรณีที่ ครม. มีมติให้ย้ายนายพีรพล จากตำแหน่ง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี โดยแต่งตั้งนายวิชัย ศรีขวัญ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการแทน ขอให้ศาลปกครอง มีคำสั่งเพิกถอน มติ ครม. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 ที่เห็นชอบให้ผู้ฟ้อง พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย และไปปฏิบัติหน้าที่ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี และมติที่เห็นชอบแต่งตั้ง นายวิชัย ศรีขวัญ รองปลดกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการแทน รวมทั้งเพิกถอนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 17/2552 ที่สั่งให้ผู้ฟ้อง มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยขาดจากอัตราเงินเดือนจากสังกัดเดิม


 


 


ศาลฎีกาฯฟันฉับ"7บิ๊ก"นักการเมืองท้องถิ่น ห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 5ปี ลงโทษอาญา ไม่ยื่นบัญชี ป.ป.ช.


มติชน- ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ว่า ราชกิจจานุเบกษาวันเดียวกัน ได้ตีพิพม์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 7 ฉบับ(หมายเลขแดงที่ อม.7-13/2551)พิพากษาว่า นักการเมืองท้องถิ่น 7 รายจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ห้ามมิให้นักการเมืองท้องถิ่น 7 รายดังกล่าว ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาฯมีคำวินิจฉัย


 


ทั้งนี้ ให้วางโทษจำคุก ๒ เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่ทั้ง 7 รายให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี


 


สำหรับ นักการเมืองท้องถิ่นทั้ง 7 รายประกอบด้วย 1. นายชาลี เส้งรอด สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)พัทลุง 2.นายสมิตร ยิ้มศิริ สมาชิกสภาเทศบาลนครขอนแก่น,3.นายประกาศิต ไหมอ่อน สมาชิกสภา อบจ.พัทลุง 4.นายวีระชัย สุวพันธฺ สมาชิกสภา อบจ.อ่างทอง 5.นายเริงฤทธิ์ พาสุนันท์ สมาชิกสภา อบจ.เลย 6.นายยานยนต์ อรุณเวสสะเศรษฐ สมาชิกสภา อบจ.ระยอง และ 7.นายภักดี คุ้มชนะ สมาชิกสภา อบจ.ชัยนาท


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีทั้ง 7 ดังกล่าวเป็นคดีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบกลุ่มแรกที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้ตัดสินตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และมีการพิพากษาลงโทษทางอาญาพร้อมกันไปด้วยเป็นครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีคำพิพากษาให้ลงโทษทางอาญา


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาระสำคัยในคำพิพากษาส่วนใหญ่เป็นไปในทำนองเดียวกันว่า นักการเมืองท้องถิ่นดังกล่าวไม่ใส่ใจต่อหน้าที่อันสำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่จะต้องปฏิบัติในการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบดังกล่าว ซึ่งเป็นมาตรการที่กฎหมายบัญญัติเพื่อให้เกิดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมา


 


ดังนั้นการกระทำ ดังกล่าว จึงถือเป็นการจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 263 วรรคสอง


 


พิพากษาว่า นักการเมืองทั้ง 7 ราย จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อ ป.ป.ช.เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 วางโทษจำคุก2 เดือน และปรับ4,000 บาท นักการเมืองทั้ง 7 ห้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 มาตรา 30 กับห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัย


 


 


คุณภาพชีวิต-เศรษฐกิจ


ครม.เศรษฐกิจไฟเขียวงบ3.4พันล. แก้เลิกจ้าง


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์- ที่รัฐสภา-นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน กล่าวถึงผลในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจว่า กระทรวงแรงงานได้เสนอข้อมูลให้ครม.เศรษฐกิจ รับทราบสถานการณ์ว่างงงานว่าแนวโน้มผู้ว่างงานจะมีมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจากการเปรียบเทียบในปี 2551 ผู้ประกันตนมาจดทะเบียนว่างงาน มีการจดทะเบียนถึง 387,629 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ถึง 38 % หรือจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นถึง 1 แสนคน โดยเฉพาะเดือนม.ค. 2552 มีการจดทะเบียนว่างงานถึง 66,776 คน ซึ่งมากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ถึง 39,050 คน หรือคิดเป็น 140.84 %


 


โดยสถานประกอบการที่มีผลกระทบ 5 อันดับแรก ได้แก่ การผลิตชิ้นส่วน การผลิตยานยนต์ การผลิตเครื่องเรือน การผลิตสิ่งทอ และการผลิตเครื่องจักร ซึ่งกรมการจัดหางานระบุว่า มีตำแหน่งงานว่างรองรับได้ 128,000 อัตรา เมื่อรายงานให้ทราบแล้ว กระทรวงแรงงานมีมาตรการรับมือ 4 มาตรการ เช่นการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service) เพิ่อช่วยเหลือแรงงาน โดยใช้อยุธยาโมเดล เป็นแบบอย่างนำร่อง รวมทั้งมีมาตรการชะลอการเลิกจ้าง ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะช่วยเหลือในเรื่องของการฝึกอบรม มุ่งเน้นในเรื่องการฝึกอบรมตำแหน่งงานที่รองรับอยู่ โดยกระทรวงแรงงานเสนอว่าจะต้องใช้เงินในกิจกรรมนี้ ประมาณ 3.4 พันล้านบาท มุ่งเป้าหมายช่วยแรงงาน 4.5 แสนคน


 


"มาตรการฝึกอบรมเพื่อแก้ปัญหาถูกเลิกจ้างจำนวน 4.5 แสนคนนั้น มติ ครม.เศรษฐกิจ ได้อนุมัติเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะมีการเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน โดยให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องประสานเสนอมาที่คณะกรรมการแก้ปัญหาการว่างงานที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยงบประมาณ ที่ตั้งไว้ และครม.อนุมัติแล้ว 6,900 ล้านบาท ถ้าไม่พอก็ให้เสนอพิจารณาที่ ครม.เศรษฐกิจต่อไป"นายไพฑูรย์ กล่าว


 


นายไพฑูรย์ กล่าวว่า สำหรับแผนงบประมาณ 3.4 พันล้านบาท ในส่วนกระทรวงแรงงาน ที่จะใช้แก้ปัฐหาเลิกจ้าง กับแผนงานของนายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมชุมชน อาจต้องมีการแยกส่วนกัน เนื่องจากเป้าหมายและหลักสูตรแตกต่างกัน เพราะหลักสูตรของนายกนก เน้นให้คนกลับไปสู่พื้นที่ชนบท แต่ในส่วนของกระทรวงแรงงานกับอีก 4 กระทรวงนั้น จะเน้นเรื่องการสร้างงงานตามโครงการทั้ง 5 โครงการ แต่คนที่จะไม่มาลงทะเบียนซ้ำกัน


 


นายวีระชัย ถาวรทนต์ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานจำเป็นที่จะต้องหาช่องทางอื่นๆ ในการนำงบประมาณมาใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเลิกจ้างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากมติในที่ประชุมคณะอนุกรรมการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามนโยบายที่กระทรวงแรงงานตั้งไว้ ที่จะเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้างและผู้ว่างงานจำนวน 455,000 คนโดยจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการกว่า 3,400 ล้านบาท


 


ทั้งนี้ มติในที่ประชุมดังกล่าว ให้ดำเนินโครงการช่วยเหลือใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 1 กลุ่มผู้ว่างงานและประชาชนทั่วไปที่สนใจในการฝึกอาชีพ 2 กลุ่มผู้ถูกเลิกจ้างที่ต้องการพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 กลุ่มผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ และ 4 ผู้ที่อยู่ในแนวโน้มการถูกเลิกจ้าง โดยตั้งเป้าฝึกอบรมไว้ 240,000 คน


 


นายวีระชัย กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงานจะได้ค่าตอบแทนในการฝึก เดือนละ 4,800 บาทต่อคนต่อหลักสูตร และจะได้ค่าเบี้ยเลี้ยงเป็นระยะเวลาอีก 3 เดือน โดยมีเงื่อนไขว่า 3 กลุ่มแรกจะต้องกลับไปประกอบอาชีพยังภูมิลำเนา ซึ่งได้มีการตั้งกลุ่มเป้าหมายในการฝึกอบรมไว้ที่ 220,000 คน ทั้งนี้ หากปฏิบัติตามโครงการดังกล่าว กระทรวงแรงงานจะสามารถช่วยเหลือผู้ถูกเลิกได้เพียง 20,000 คนเท่านั้น ซึ่งคงไม่สามารถบรรเทาวิกฤตเลิกจ้างได้ อีกทั้งยังทำให้จำนวนผู้ว่างงานมีเพิ่มมากขึ้นและทำให้รัฐบาลต้องเสียงบประมาณในการช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าตนจะลาออกหากจากคณะอนุกรรมการฯหากโครงการของกระทรวงแรงงานไม่ผ่านนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงและอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน


 


ด้านนายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมชุมชน กล่าวภายหลังประชุมย่อยร่วมกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และนายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน ว่า การประชุมวันนี้ไม่ทราบรายละเอียดที่กระทรวงแรงงานยังคงยืนยันของบประมาณ 3.4 พันล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาแรงงานอยู่ ต้องไปถามกระทรวงแรงงานเท่านั้น


 


ส่วนตามข้อห่วงใยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กังวลว่าจะมีการทำงานซ้ำซ้อนกันนั้นได้มีการหารือร่วมกันกับนายไพฑูรย์และมองตรงกันแล้วว่า ตำแหน่งงานว่างที่กระทรวงแรงงานมีข้อมูลอยู่ที่ 1.2 แสนตำแหน่งนั้น ขอให้กระทรวงแรงงานไปจัดแบ่งประเภทว่ามีกี่กลุ่มอาชีพ เพื่อจะจัดแบ่งคอร์สการฝึกอบรมให้ตรงกับตำแหน่งงานว่างที่มี ซึ่งตำแหน่งงานว่างที่มีจะเกี่ยวพันกับการส่งคนไปฝึกอบรมในหลายกระทรวง ซึ่งข้อมูลของสถานประกอบการที่สนับสนุนการฝึกอบรมในโรงงานนั้น ต้องมีการคัดกรอง เพราะทุกกระทรวงก็มีข้อมูลสถานประกอบการแนวโน้มแย่ ที่ไม่ตรงกันอยู่


 


"คณะอนุกรรมการที่มีถึง 3 ชุดกำลังเร่งหารือ และคิดหลักสูตรที่เหมาะสมกับสถานการณ์ว่างงาน เบื้องต้นมีถึง 2,500 หลักสูตรซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอีก โดยตั้งเป้าหมายว่าจะฝึกอบรมคนกลุ่มแรกในช่วงต้นเดือน เม.ย.2552 นี้ เรื่องทำงานทีมเดียวกันนั้น ต้องมีการบริหารจัดการ ยืนยันว่าเป็นทีมเดียวกันอยู่ ส่วนเรื่องการฝึกอบรมให้คนคืนถิ่น กลับสู่ชนบทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด" นายกนก กล่าว


 


 


กระทรวงแรงงานเปิดโผ5กลุ่มธุรกิจเสี่ยงเลิกจ้างสูง


กรุงเทพธุรกิจ - สถานการณ์เลิกจ้าง ในช่วงต้นปียังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการรวบรวมข้อมูลการเฝ้าระวังการเลิกจ้างของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2551 - 6 ก.พ. 2552 มีสถานประกอบการที่มีการเลิกจ้าง 808 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 68,073 คน สถานประกอบการที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 77,283 คน ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ 223,483 คน แบ่งออกเป็นการเลิกจ้างในปี 2551 ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2551 สถานประกอบการที่มีการเลิกจ้าง 698 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 55,549 คน สถานประกอบการที่มีแนวโน้มการเลิกจ้าง 357 แห่ง ลูกจ้างทั้งหมด 205,177 คน มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้าง 43,747 คน ลูกจ้างได้รับผลกระทบ 161,430 คน



  


สถานการณ์เลิกจ้างในช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 6 ก.พ. 2552 มีสถานประกอบการที่มีการเลิกจ้างลูกจ้าง 110 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 12,524 คน สถานประกอบการที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 207 แห่ง ลูกจ้างทั้งหมด 95,589 คน มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้าง 33,536 คน ลูกจ้างได้รับผลกระทบ 62,053คน


  


ข้อมูลสถานการณ์ การเลิกจ้างที่สำคัญ 5 ลำดับจังหวัด สรุปดังนี้ 1. การเลิกจ้าง แยกตามลักษณะต่างๆ ได้ดังนี้ คือ 1.1 พื้นที่การเลิกจ้าง -ที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 5 จังหวัดแรก คือ 1.จังหวัดสมุทรปราการ ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 12,163 คน สถานประกอบการ เลิกจ้าง 91 แห่ง 2.จังหวัดปทุมธานี ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 10,829 คน สถานประกอบการที่ถูกเลิกจ้าง 47 แห่ง 3.กรุงเทพฯ ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง 8,187 คน สถานประกอบการที่เลิกจ้าง 127 แห่ง 4. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 7,425 คน สถานประกอบการที่ถูกเลิกจ้าง 40 แห่ง 5.จังหวัดตาก ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 3,342 คน สถานประกอบการที่เลิกจ้าง 26 แห่ง



  


ขนาดสถานประกอบการที่เลิกจ้าง และลักษณะการเลิกจ้าง แบ่งออกเป็น 1.สถานประกอบการขนาด 50-299 คน จำนวน 260 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 17,691 คน 2. สถานประกอบการขนาด 10-49 คน จำนวน 199 แห่ง ถูกเลิกจ้าง 3,431 คน 3.สถานประกอบการขนาด 1-9 คน จำนวน 175 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 516 แห่ง 4.สถานประกอบการขนาด 300-900 คนจำนวน 117 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 19,963 คน 5.สถานประกอบการขนาด 1,000 คนขึ้นไป จำนวน 57 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 26,472 คน



  


อย่างไรก็ตามในจำนวนดังกล่าว มีสถานประกอบการที่ปิดกิจการจำนวน 380 แห่ง เลิกจ้าง 23,937 คน และเลิกจ้างลูกจ้างเพียงบางส่วน 428 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 44,136 คน



  


ส่วนประเภทกิจการที่เลิกจ้าง แบ่งออกเป็น 5 ลำดับ ดังนี้คือ 1.ผลิตสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ฟอกหนังสัตว์ มีกิจการเลิกจ้าง 76 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 13,420 คน 2.การผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีการเลิกจ้างทั้งหมด 76 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 13,730 คน 3. การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ 4.บริการรับทำบัญชี มีการเลิกจ้าง 75 แห่ง ลูกจ้างเลิกจ้าง 4,136 คน 5.การผลิตเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ มีการเลิกจ้าง 68 แห่ง ลูกจ้างเลิกจ้าง 2,804 คน



  


เมื่อพิจารณาสาเหตุการเลิกจ้าง ใน 5อันดับแรก พบว่า ส่วนใหญ่ประสบภาวะขาดทุน ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จำนวน 484 แห่ง เลิกจ้างลูกจ้าง 31,862 คน การสั่งซื้อลดลง จำนวน 157 แห่ง เลิกจ้างลูกจ้าง 25,633 คน -หมดฤดูกาลผลิต สินค้าไม่ได้คุณภาพจำนวน 53 แห่ง เลิกจ้าง 881 คน -ลดขนาดองค์กร/ลดวันทำงานจำนวน 37 แห่ง เลิกจ้าง 2,774 คน -หมดสัญญา ยกเลิกสัมปทาน จำนวน 27แห่ง เลิกจ้างลูกจ้าง 3,169 คน



  


จากการเฝ้าระวังของกรมสวัสดิการ กรณีสถานประกอบการที่มีแนวโน้มจะเลิกจ้างลูกจ้าง โดยการพิจารณาจากสถานประกอบการที่บ่งชี้ ซึ่งทำให้คาดหมายว่าอาจจะมีการเลิกจ้างถ้าปัญหาดังกล่าว ยังคงดำรงอยู่ และนายจ้างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พบว่าสถานประกอบการที่มีแนวโน้มการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2551-6 ก.พ. 2552 จำนวน 564 แห่ง ลูกจ้างทั้งหมด 300,766 คน มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้าง 77,283 คน ได้รับผลกระทบ 223,483 คน เป็นแนวโน้มการเลิกจ้าง ที่ต่อเนื่องมาจากปี 2551 จำนวน 357 แห่ง ลูกจ้างทั้งหมด 205,177 คนแนวโน้มจะถูกเลิกจ้างทั้งหมด 43,747 คน ได้รับผลกระทบ 161,430 คน



  


แนวโน้มการเลิกจ้างระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 6 ก.พ. 2552 จำนวน 207 แห่งลูกจ้างทั้งหมด 95,589 คน มีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้าง 33,536 คน ได้รับผลกระทบ 62,053 คน



  


ส่วนข้อบ่งชี้ ที่มีการเลิกจ้างใน 5 อันดับแรก คือ 1. การหยุดกิจการชั่วคราว และ การจ่ายค่าจ้าง บางส่วนจำนวน 309 แห่ง ลูกจ้างที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 60,310 คนและลูกจ้างที่คาดว่า ได้รับผลกระทบในอนาคต 128,235 คน



  2. ลดการผลิต ลดวันทำงาน 173 แห่ง ลูกจ้างมีแนวโน้มจะเลิกจ้าง 6,500 คน และลูกจ้างที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคต 9,949 คน



  3. ค้างจ่าย/ผิดนัดการจ่ายค่าจ้าง 21 แห่ง ลูกจ้างที่มีแนวโน้มถูกเลิกจ้าง 9,080 คน และลูกจ้างที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคต 72,682 คน



  4. อื่นๆ แจ้งปิดกิจการ หมดสัญญาเช่าที่ดิน 37 แห่ง ลูกจ้างที่มีแนวโน้มจะเลิกจ้าง 1,049 คน และลูกจ้างที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคต 9,082 คน



  5. ขาดแคลนวัตถุดิบ 6 แห่ง ลูกจ้ามีแนวโน้มจะเลิกจ้าง 221 คนและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบในอนาคต 715 คน



  


ส่วนแนวโน้มจังหวัดที่เลิกจ้างในอนาคต 5 จังหวัดแรก ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 28,183 คน สถานประกอบการเลิกจ้าง 91 แห่ง 2.จังหวัดนครราชสีมา ลูกจ้างที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 10,918 คน สถานประกอบการ 16 แห่ง 3.จังหวัดสมุทรปราการ ลูกจ้างมีแนวโน้มเลิกจ้าง 10,081 คน สถานประกอบการมีแนวโน้มเลิกจ้าง 40 แห่ง 4.จังหวัดปราจีนบุรี ลูกจ้างที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 9,612 คน สถานประกอบการ 21 แห่ง 5.จ.ประจวบคีรีขันธ์ เลิกจ้าง 5647 คน สถานประกอบการ 19 แห่ง



  


กลุ่มประเภทอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะถูกเลิกจ้างใน 5อันดับแรก คือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 144 แห่ง ลูกจ้างมีแนวโน้มเลิกจ้าง 50,819 แห่ง 2.ผลิตรถยนต์ อุปกรณ์ขนส่ง 84 แห่ง แนวโน้มเลิกจ้าง 10,748 คน 3.ผลิตเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ 51 แห่ง แนวโน้มเลิกจ้าง 3,646 คน 4. ผลิตเครื่องจักร 45 แห่ง ลูกจ้างที่มีแนวโน้มเลิกจ้าง 3,676 คน 5.ผลิตสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย ฟอกหนังสัตว์และรองเท้า 37 แห่ง ลูกจ้างเลิกจ้าง 2,786 คน


 


 


 


สปส.เคาะจ่ายเงิน2พันให้ผู้ประกันตน5รอบ


คมชัดลึก -เมื่อวันที่ 11 ก.พ.นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีรัฐบาลมีนโยบายจ่ายเงิน 2,000 บาทให้กับผู้ประกันตน จำนวน 8.3 ล้านคน ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่า ขณะนี้ สปส.ได้ประสานงานไปยังนายจ้าง เพื่อดำเนินการรวบรวมข้อมูลและเลขบัญชีของลูกจ้าง เพื่อที่จะโอนเงินให้ถึงมือผู้ประกันตนโดยเร็วที่สุด โดย สปส.ได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งนายจ้างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องทำการดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากเว็บไซต์ เพื่อส่งข้อมูลกลับมายัง สปส. สำหรับการจ่ายเงินให้กับผู้ประกันตนนั้นจะแบ่งจ่ายเป็น 5 รอบ โดยรอบแรกจะโอนเงินให้ในวันที่ 26 มี.ค.ซึ่งจะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนจำนวน 4 ล้านคน วงเงินรวม 8 พันล้านบาทรอบที่ 2 ในวันที่ 7 เม.ย.รอบที่ 3 วันที่ 10 เม.ย.รอบที่ 4 วันที่ 4 พ.ค. และรอบสุดท้ายวันที่ 15 พ.ค.



  


นายปั้น ยังกล่าวถึงที่คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เห็นชอบให้ใช้เงินจำนวน 24 ล้านบาท จัดทำระบบซอฟต์แวร์ เพื่อจัดทำระบบโอนเงินจำนวน 2,000 บาทให้กับผู้ประดันตน ว่า ในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลเลขที่บัญชีของผู้ประกันตนประมาณ 7 ล้านคนนั้น จะต้องจัดทำระบบขึ้นมาใหม่ โดยตั้งงบประมาณไว้ 24 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิ ค่าเอกสาร ค่าจ่ายล่วงเวลาให้กับเจ้าหน้าที่รวมข้อมูล สำหรับงบที่ใช้จัดทำระบบซอฟต์แวร์เพื่อโอนเงินโดยเฉพาะนั้นมีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 680,000 บาท



  


น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า เงินจำนวน 24 ล้านบาท ที่นำไปใช้ในการจัดฐานข้อมูลให้กับผู้ประกันตน ตนคิดว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีค่าใช้จ่ายสูงไม่คุ้มค่ากับเงินที่ผู้ประกันตนจะได้รับเพียง 2,000 บาท และได้สร้างความสับสนให้กับผู้ประกันตนพอสมควรสำหรับการจ่ายเงินให้กับผู้ประกันตน ทั้งนี้ การใช้เงินที่สูงมากควรจะมีการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสเพราะมีข้อสังเกตจากหลายฝ่ายว่าจะเป็นการประมูลของบริษัทที่ใกล้ชิดกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สปส.จะต้องมีการพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินในการบริหารจัดการให้เหมาะสมและรัดกุมเพิ่มขึ้น


 


 


เล็งห้ามขายเหล้าช่วงสงกรานต์


กรุงเทพธุรกิจ -นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.) เปิดเผยในงานครบรอบ 1 ปีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ว่า ตนจะเร่งหารือกับนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อชี้แจงเรื่องการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในวันสงกรานต์และปีใหม่



  


ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่าเกินกว่า 50% สนับสนุนให้มีการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ยังมีกว่า 17% ที่ไม่สนับสนุนจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนการติดภาพและคำเตือนพิษภัยจากการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ที่ข้างขวดเหมือนกับซองบุหรี่นั้น ได้มอบหมายให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำการศึกษาถึงข้อความคำเตือนและรูปภาพที่เหมาะสม



  


"ผมเข้าใจว่าที่ท่านรัฐมนตรีว่าการพูดว่าจะไม่มีการห้ามนั้น อาจหมายถึงจะไม่มีการห้ามดื่ม แต่หากเป็นการห้ามจำหน่ายในช่วงเทศกาลคิดว่าท่านคงสนับสนุน ซึ่งผมจะเร่งนำเรื่องนี้เข้าหารือกับท่าน ถ้าไม่ติดขัดในเรื่องใดคาดว่าน่าจะเริ่มทดลองดำเนินการได้ในวันสงกรานต์ปีนี้ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุ หากทำแล้วได้ผลดีช่วยลดอุบัติเหตุเกินกว่า 50% เชื่อมั่นว่าประชาชนคงสนับสนุนให้ดำเนินการมากขึ้น ก็อาจจะมีการพิจารณาขยายถึงการห้ามจำหน่ายในเทศกาลอื่นๆ ต่อไป" นายมานิตกล่าว



  


ทางด้าน น.พ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้รัฐมนตรีสามารถประกาศวันหรือเวลาที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ซึ่งรัฐมนตรีในที่นี้หมายถึงนายกรัฐมนตรี หากจะมีการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันเทศกาล จะต้องออกเป็นประกาศสำนักนายกฯ



  


น.พ.สมาน กล่าวอีกว่า จากการศึกษาข้อมูลในต่างประเทศพบว่ามีการติดคำเตือนไว้ที่ข้างขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น้อยมาก ส่วนการติดภาพคำเตือนไม่มีประเทศไหนในโลกดำเนินการเลย ดังนั้น หากไทยสามารถทำได้จะเป็นประเทศแรกของโลก และจะได้รับการสรรเสริญจากนานาประเทศอย่างมาก ซึ่งภาพที่จะนำมาใช้เป็นภาพเตือนสตินักดื่มก็น่าจะเป็นภาพอันตรายจากการดื่มที่น่ากลัวๆ เหมือนข้างซองบุหรี่ อาทิเช่น ภาพคนประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บหนักๆ ภาพตับแข็ง และภาพภรรยาถูกทำร้ายทุบตี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินการ



  


"หากจะดำเนินการมาตรการติดภาพคำเตือน คาดว่าจะได้รับการคัดค้านจากกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผลิตภัณฑ์เสียภาพลักษณ์ แต่ก็ต้องแสดงให้กลุ่มธุรกิจเหล่านี้เห็นว่ามีคนเห็นด้วยมากกว่าคนคัดค้าน" น.พ.สมานกล่าว


 


 


ศิลปวัฒนธรรม


นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเข้าชมอุทยานฯ เขาพระวิหาร


ไทยรัฐ - วานนี้ (11 ก.พ.) นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า หลังจากที่ กรมอุทยานฯ ประกาศเปิดอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมในพื้นที่ได้ ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวทยอยเข้าเที่ยวชมแล้ว โดยกรมอุทยานฯ ได้ปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย หรือ ชำรุดทรุดโทรม เนื่องจากปิดทำการมาเป็นเวลากว่า 9 เดือน จนบางแห่งเหมือนกับที่รกร้าง


 


อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวอีกว่า ในการเปิดให้เข้าเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารในครั้งนี้ จะเปิดให้ชมเฉพาะบริเวณผามออีแดง ซึ่งอยู่ในเขตประเทศไทยเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เข้าไปยังบริเวณปราสาทพระวิหาร จนกว่าจะมีการตกลงกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา


 


นายเกษมสันต์ กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าการตัดสินใจเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมครั้งนี้ ได้หารือกับ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และอยากขอความร่วมมือประชาชน ที่จะเดินทางเข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติฯ ปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ อย่างเคร่งครัดด้วย


 


 


ต่างประเทศ


สื่อผู้ดีตีข่าวทักษิณถูกถอดจากปธ.กิติมศักดิ์ แมนฯ ซิตี้


ไทยรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (12 ก.พ.) ว่า หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดี้ยน ของอังกฤษ รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกถอดชื่อจากประธานกิติมศักดิ์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้ว เนื่องจากเจ้าของสโมสรคนปัจจุบัน และผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรเห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมหากจะอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีตำแหน่งสำคัญภายในทีมต่อไป เพราะสถานภาพของอดีตนายกฯ ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ตะวันออกกลาง จีน และบาฮามัส หลังจากถูกอังกฤษถอนวีซ่า


 


ทั้งนี้ รายงานข่าว ระบุด้วยว่า แม้จะไม่สามารถระบุที่อยู่ปัจจุบันของอดีตประธานสโมสรแมนฯซิตี้ ชาวไทยได้ แต่แกร์รี่ ประธานบริหารของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แจ้งข่าวผ่านคนกลางไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว นอกจากนี้ยังคาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะขายหุ้น 10% ที่เหลืออยู่ในทีมให้หมดต่อไป


 


 


เลือกตั้งอิสราเอลส่อเค้าวุ่นเหตุ"คะแนนสูสี"


กรุงเทพธุรกิจ - สื่ออิสราเอล คาดหมายวานนี้ (11 ก.พ.) ว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู มีแนวโน้มจะรวบรวมคะแนนเสียงได้มากพอสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล แม้ได้คะแนนเสียงเป็นรองคู่แข่ง ในการเลือกตั้งทั่วไปอิสราเอล



  


"เขาแพ้แต่จะชนะ" หนังสือพิมพ์หัวสีมารีฟ พาดหัว พร้อมรายงานว่า นางซิปี ลิฟนี รัฐมนตรีต่างประเทศจากพรรคคาดิมา ซึ่งมีแนวทางสายกลาง ประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งที่สูสีจะทำให้เกิดความสับสนไปอีก 1-2 วัน เพราะทั้งเนทันยาฮูและลิฟนี พยายามรวบรวมเสียงให้ได้มากพอในการจัดตั้งรัฐบาล



  


ในช่วงที่ผลการนับคะแนนเกือบแล้วเสร็จ ปรากฏว่าพรรคคาดิมาได้ไป 28 ที่นั่ง จากทั้งหมด 120 ที่นั่งในสภา ส่วนพรรคลิคุดซึ่งมีแนวทางเอียงขวาของนายเนทันยาฮู ได้ไป 27 ที่นั่ง



  


ระบบของอิสราเอล ระบุว่า ผู้ที่ได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ได้ที่นั่งมากที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีโอกาสรวบรวมเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.ได้อย่างน้อย 61 เสียง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว นายเนทันยาฮูสามารถระดม ส.ส.ได้มาก โดยพรรคลิคุดมี 27 ที่นั่ง พรรคยิสราเอลไบเทนูซึ่งมีแนวทางชาตินิยมสุดขั้ว มี 15 ที่นั่ง พรรคชาสซึ่งมีแนวทางอนุรักษ์ 11 ที่นั่ง พรรคยูไนเต็ด โทราห์ จูเดอิซึม 5 ที่นั่ง พรรคจิวอิช โฮม และพรรคเนชั่นแนล ยูเนียน ซึ่งมีแนวทางขวาจัดอีกพรรคละ 7 ที่นั่ง



  


ขณะที่ลิฟนีสามารถรวบรวม ส.ส.ได้เพียง 44 เสียง ได้แก่ พรรคคาดิมา 28 เสียง พรรคแรงงาน 13 เสียง และพรรคเมเรตซ์ซึ่งมีแนวทางเอียงซ้ายอีก 3 เสียง ที่เหลืออีก 11 ที่นั่ง เป็นของพรรคอาหรับ ซึ่งไม่มีแนวโน้มจะจับมือกับพรรคใดเพื่อตั้งรัฐบาล



  


นักวิเคราะห์มองว่าผลการเลือกตั้งอิสราเอล ซึ่งพลิกไปทางพรรคแนวทางเอียงขวา เป็นลางไม่ดีสำหรับอนาคตการเจรจาสันติภาพตะวันออกกลาง เพราะทำให้เป็นการยากที่จะนึกภาพรัฐบาลใหม่พร้อมที่จะประนีประนอม เพื่อให้ได้ข้อตกลงกับปาเลสไตน์" นายเมนาเฮม เคลนกล่าว



  


ด้านปาเลสไตน์ก็แสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด "ชัดเจนว่าอิสราเอลลงคะแนนเพื่อทำให้กระบวนการสันติภาพเป็นอัมพาต ผลการเลือกตั้งของอิสราเอลบ่งว่าจะไม่มีรัฐบาลในอิสราเอล ที่สามารถทำอะไรที่จำเป็นในการบรรลุสันติภาพได้" นายซาเอบ อีรากัต ผู้เจรจาระดับสูงชาวปาเลสไตน์กล่าว



 


 


แฉกบฏศรีลังกาโหดฆ่าประชาชนคิดหนี


เดลินิวส์ -กองทัพศรีลังการะบุ กลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนยิงพลเรือนที่หลบหนีจากเขตยึดครองเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยของรัฐบาล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมอ้างประชาชนที่ติดค้างอยู่ในเขตควบคุมของกบฏเหลือไม่ถึงแสน


  


พลจัตวาอูดายา นานายัคคารา โฆษกกองทัพศรีลังกาเปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า กลุ่มกองโจรพยัคฆ์ทมิฬ อีแลม ได้สังหารพลเรือนเสียชีวิต 17 ศพ และบาดเจ็บอีกเกือบ 70 ราย ที่กำลังหลบหนีออกจากดินแดน ซึ่งยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฏ


  


โดยกลุ่มผู้ที่รอดชีวิตออกมาได้ ซึ่งเดินทางมาถึงฐานที่มั่นของฝ่ายทหารรัฐบาล บอกว่า นักรบอีแลม ได้สาดกระสุนเข้าใส่ประชาชนราว 1,000 คน ที่กำลังพยายามหนีเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยของฝ่ายทหาร ซึ่งพลเรือนที่รอดชีวิตมาได้ ต้องแบกศพผู้ตาย 17 ศพ และคนที่ถูกยิงบาดเจ็บ 69 รายออกมาด้วย ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นหญิง 27 คน และเด็ก 11 คน


  


พลจัตวานานายัคคารา กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เราเห็นก็คือ มีประชาชนหนีออกมาอยู่กับฝั่งรัฐบาลมากขึ้น ขณะที่ กบฏอีแลม ยังคงยิงปืน ค. โจมตีเส้นทางอพยพของพลเรือน แต่ประชาชนเหล่านี้ ก็ยังต้องการหนีจากสมรภูมิรบ


  


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากมือระเบิดพลีชีพของกบฏพยัคฆ์ทมิฬ จุดชนวนระเบิดสังหารผู้คน 30 ศพที่ศูนย์ลี้ภัยพลเรือนเมื่อวันจันทร์ ซึ่งสหประชาชาติและสหรัฐ ได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าว เช่นเดียวกับองค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวประณามการระเบิดพลีชีพ


  


นอกจากนี้ รัฐบาลศรีลังกาแถลงว่า ตอนนี้จำนวนพลเรือนที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่สู้รบระหว่างทหารกับกบฏมีไม่ถึง 100,000 คนแล้ว แม้หน่วยงานของสหประชาชาติอ้างว่า มีสูงถึง 250,000 คนก็ตาม


  


วันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมศรีลังการะบุว่า กองกำลังทหารรัฐบาลยังคงปฏิบัติการโจมตีสมุนกบฏอีแลมที่เหลืออย่างต่อเนื่อง ทำให้กบฏได้รับความเสียหายอย่างหนัก และสูญเสียสมาชิกอีก 27 ศพ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net