Skip to main content
sharethis
ยุทธร อิสรชัย ชี้ถึงสภาพการณ์ “คนรากหญ้าเห็นคุณค่าประชาธิปไตย คนในเมืองเห็นผลกระทบของประชาธิปไตย” และวิเคราะห์ต้นตอของปัญหาของมวลชนาธิปไตย หรือการใช้มวลชนเข้าสู่ กดดันทางการเมือง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากรัฐประหาร19 กันยาที่ตัดตอนความเข้มแข็งของคนรากหญ้า และสังคมที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ
 
 
 
 
ชื่อบทความเดิม: มวลชนาธิปไตย
 
 

ตลอดระยะเวลา 78 ปีของระบอบประชาธิปไตยไทย ไม่เคยมีคราวใดที่ความแตกต่างทางการเมืองกลายเป็นความขัดแย้งครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญระหว่างคนในสังคม และยังก่อให้เกิดกลุ่มทางการเมืองต่างๆ อีกมากมาย เช่น คนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดง คนเสื้อขาว คนเสื้อน้ำเงิน คนเสื้อชมพู กลุ่มสันติวิธีไม่เอาความรุนแรง ฯลฯ สาเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดจากโครงสร้างสังคมการเมืองไทยที่ยังมีปัญหาในเรื่องความเป็นธรรมและโอกาสทางสังคม ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ การพึ่งพิง ปัญหาของระบบราชการ ธุรกิจการเมือง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดตัดสินใจอย่างแท้จริง และกระบวนการตรวจสอบเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนขาดกลไกในการจัดการความขัดแย้ง รวมทั้งขาดสื่อที่จะเป็นพื้นที่สาธารณะให้ทุกฝ่ายร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างปราศจากอคติ


“โครงสร้างสังคมการเมืองที่บิดเบี้ยว”
ก่อให้เกิดมาตรฐานในการมองการเมืองที่ต่างกันระหว่างคนในเมือง-คนในชนบท คนชั้นกลางส่วนหนึ่ง-คนรากหญ้า อำมาตยาธิปไตย-ทุนธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์ ทหาร-นักการเมืองฝ่ายหนึ่ง สื่อกระแสหลัก-สื่อกระแสรอง และคู่ตรงข้ามอื่นๆ อันเนื่องมาจากดุลยภาพแห่งการพัฒนาที่ขาดความสมดุล ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง และคนรากหญ้า ตลอดจนเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมทางการเมืองต่อกรณีรัฐบาลธุรกิจการเมือง การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย การซุกหุ้นและนอมินี การเอื้ออำนวยประโยชน์พวกพ้อง การใช้อำนาจการเมืองเพื่อธุรกิจสัมปทาน การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การใช้อำนาจในการตรวจสอบของศาลและองค์กรอิสระ การยุบพรรคไทยรักไทย การยุบพรรคพลังประชาชน การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกรอบกติกาทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และ 2550 จนเป็นประเด็นความขัดแย้งทางชนชั้น ตัวบุคคล และนโยบาย
 
สองนคราประชาธิปไตย หรือสภาพการณ์ที่คนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพไล่รัฐบาลจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นการที่ “คนกรุงเทพบางส่วนเลือกรัฐบาล คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ไล่รัฐบาล” เพราะหากพิจารณาการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์จะพบว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มทุนธุรกิจมากกว่าคนรากหญ้าในต่างจังหวัดดังจะเห็นจากการเข้ามามีบทบาทในการร่วมกำหนดและดำเนินนโยบายรวมทั้งการแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยและชี้ให้เห็นผลกระทบในการชุมนุมของคนเสื้อแดงจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ที่เป็นกลไกของคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว ขณะที่นโยบายไทยเข้มแข็งของรัฐบาลกลับไม่เป็นผลในด้านคะแนนนิยมต่อกลุ่มคนรากหญ้าเนื่องจากรัฐบาลได้ใช้กลไกในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวผ่านทางระบบราชการซึ่งมีปัญหาในแง่ของกระบวนทัศน์ที่มุ่งเน้นเพียงการควบคุม สั่งการ บังคับบัญชา ก่อให้เกิดช่องว่างรัฐบาลกับประชาชนอย่างมากในการรับฟังข้อเรียกร้องภายใต้สังคมการเมืองที่ยังมีปัญหาเรื่องการกระจายทรัพยากรอย่างสมดุลให้กับทุกภาคส่วน การชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์และสีลมจึงเป็นการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ในบริเวณศูนย์กลางการค้าและทุนธุรกิจของประเทศ แสดงให้เห็นถึงการทวงสิทธิของผู้ชุมนุมที่เริ่มเห็น “คุณค่าของประชาธิปไตย” จึงเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากต่างจังหวัดร่วมกับคนในกรุงเทพบางส่วน เนื่องจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำให้ “ประชาธิปไตยกินได้” และกลายเป็นสิ่งที่สัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมผ่านทางนโยบายประชานิยมที่ใช้กลไกทางการเมืองเป็นตัวขับเคลื่อน ขณะเดียวกันคนชั้นกลางในเมืองอีกส่วนหนึ่งเห็นว่า การเคลื่อนไหวใช้สิทธิทางการเมืองดังกล่าวส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความสะดวกสบายและการทำธุรกิจธุรกรรมของคนในเมืองก่อให้เกิดการใช้มวลชนเข้าต่อสู้ เช่น การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อชมพูที่สวนลุมพินีเพื่อเรียกร้องในเรื่องความเดือดร้อนของคนกรุงเทพจากการชุมนุม หรือการนำมวลชนของชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพมหานครออกมาแสดงพลังเพื่อปกป้องสิทธิของชุมชน เป็นสภาพการณ์ที่สรุปได้ว่า “คนรากหญ้าเห็นคุณค่าประชาธิปไตย คนในเมืองเห็นผลกระทบของประชาธิปไตย”
 
ในสภาวการณ์เช่นนี้รัฐบาลต้องแยกแยะบทบาทสถานภาพระหว่างการเป็นคู่ขัดแย้งกับผู้ชุมนุมและการเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้โอกาสทั้งฝ่ายผู้สนับสนุนและฝ่ายผู้ต่อต้านในการเข้าถึง พบปะ พูดคุยกับรัฐบาลอย่างเท่าเทียม การประกาศบังคับใช้กฎหมายในมาตรฐานเดียวกันโดยไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ในการปกป้องศูนย์กลางการค้าและทุนธุรกิจของประเทศเกินกว่าสิทธิในการชุมนุมที่ถูกรับรองโดยรัฐธรรมนูญของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งพวกเขาเป็นปวงชนชาวไทยเช่นเดียวกัน ตลอดจนการไม่สนับสนุนให้เกิดการใช้มวลชนคู่ตรงข้ามเผชิญหน้ากดดันซึ่งกันและกัน
 
การต่อสู้ของอำมาตยาธิปไตยและธนาธิปไตยมีอยู่ในระบบการเมืองไทยตลอดมา หากแต่โครงสร้างทางสังคมที่มีพัฒนาการซับซ้อนมากขึ้นส่งผลให้ภาคประชาสังคมในการเมืองไทยใหญ่โตเกินกว่าจะมีอำนาจใดเพียงอำนาจเดียวที่จะกำหนดชี้นำสังคมไทยได้ จนเกิดกลุ่มมวลชนทางการเมืองหรือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมมากมายเป็นระบบการเมืองแบบ “มวลชนาธิปไตย” ที่อำนาจในการกำหนดชี้นำสังคมเกิดจากการใช้กำลังทางกายภาพของมวลชนที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ค่านิยม ความเห็น มากกว่าสังคมประชาธิปไตยที่มีความรู้ จึงก่อให้เกิด “การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์” สมมติฐานที่ว่าความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 4 – 5 ปีที่ผ่านมาจะก่อให้เกิดพัฒนาการทางสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตยอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงเพราะการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการแสดงออกถึงบทบาทสถานภาพของคนในสังคมไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ สื่อมวลชน ทหาร นักธุรกิจ ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง คนรากหญ้ายังเต็มไปด้วย “มายาคติ มิจฉาทิฐิ และการก้าวข้ามไม่พ้นอคติ” ของตนเอง การพัฒนาไปสู่สังคมที่จะเกิดภูมิปัญญาทางการเมืองอย่างแท้จริงจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคมการเมืองที่ยังคงมีอคติในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การแสดงออกถึงบทบาทสถานภาพและหน้าที่ที่ขัดแย้งในตนเองของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมเช่นนี้ ความพยายามในการพัฒนาประชาธิปไตยเพื่อนำสังคมก้าวข้ามผ่านระบบการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยและ ธนาธิปไตย จึงเกิด “การกลายพันธุ์” (mutation) ของกระบวนการประชาธิปไตยจากการสร้างประชาสังคมที่เข้มแข็งไปสู่ระบบการเมืองแบบ “มวลชนาธิปไตย” คือ “การใช้มวลชนเข้าต่อสู้เพื่อมีอำนาจกำหนดกดดันการตัดสินใจในระบบการเมือง ในขณะที่คนยังขาดจิตสำนึกสาธารณะ และความรับผิดชอบต่อสังคม ระบบการเมืองเช่นนี้มีความเปราะบางต่อการเผชิญหน้าและการปะทะกันระหว่างมวลชนคู่ตรงข้าม อันเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร 19 กันยา ที่ตัดตอนการสร้างความเข้มแข็งให้คนรากหญ้าขยับขึ้นเป็นคนชั้นกลางเพราะในสังคมต่างๆ ทั่วโลกพัฒนาได้โดยการขับเคลื่อนของคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งความล้มเหลวของระบบรัฐสภาที่ไม่สามารถทำหน้าที่ในมิติของการเป็นผู้แทนปวงชนและรับฟังแก้ไขข้อเรียกร้องของประชาชนภายใต้สังคมการเมืองที่ยังมีปัญหาเรื่องการกระจายทรัพยากรอย่างสมดุล การการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างความคิดที่เห็นตรงกับความคิดที่เห็นต่างจะไม่สามารถเกิดได้อย่างยั่งยืนหากขาดการปฏิรูปหรือแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างสังคมการเมือง การสร้างจิตสำนึกสาธารณะ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างปราศจากอคติบนพื้นที่สาธารณะที่เป็นกลาง เพื่อให้เกิดพัฒนาการทางสังคมการเมืองไปสู่สังคมแห่งความรู้ที่จะเป็นรากฐานการเมืองของพลเมืองอย่างแท้จริง
 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net