Skip to main content
sharethis

เซ็งมาหลายวัน ไม่ใช่แค่ไม่อยากเขียนอะไร แต่เซ็งจนกระทั่งไม่อยากติดตามข่าว เพราะเห็นอาการยึกยักของแกนนำเสื้อแดงจนเสียการเมืองไปเรื่อยๆ

ที่จริงผมคิดจะเขียนเรียกร้องให้เลิกชุมนุมอีกครั้ง แต่พอดีพวกขาวเนียนเค้าออกมาบอกว่าใครเป็นแนวร่วมเสื้อแดงช่วยเตือนสติให้เลิกชุมนุมเสีย ผมก็เลยต้องชะงัก เพราะเขียนไปก็เท่ากับผมเป็น “แนวร่วมเสื้อแดง” ไม่เขียนดีกว่า

เหตุผลกลใดที่ควรเลิกชุมนุม ผมก็เขียนไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่ผมหรอก คนเสื้อแดงที่เข้าใจการเมืองก็ตระหนักดี เพื่อนเก่ารายหนึ่งเสื้อแดงเข้าไคล เขายังส่ายหัวบอกว่า จะดันทุรังไปทำไม เพราะเราเข้าใจกันว่าต้องต่อสู้ยืดเยื้อ ไม่ใช่มุ่งแตกหัก เอาชีวิตมวลชนไปเสี่ยง

สุดท้ายแกนนำเสื้อแดงก็ทำให้แนวร่วมหรือคนที่เห็นใจหดหาย หน่าย เซ็ง แม้แต่แกนนำกันเองยังแตกคอ ขณะที่คนกรุงเทพฯ ทั่วไป (ไม่ต้องพูดถึงพวกเสื้อหลากสีหรือพันธมิตร) ก็พร้อมจะเอาหูไปนาเอาตาไปห้าง ถ้าใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามคนเสื้อแดงแล้วเกิดนองเลือด

แกนนำเสื้อแดงนำตัวเองมาสู่จุดอับ มาสู่การแตกหัก ที่ไม่รู้ว่าจะได้ประโยชน์อะไร

แต่พอดี๊ ที่ไอ้มาร์คก็มาตระบัดสัตย์ ไม่ยุบสภาตามที่ให้สัญญาประชาคมไว้ ตระบัดสัตย์นะครับ เพราะคุณประกาศออกทีวีให้สัญญากับสาธารณชน คุณจะไปเจรจากับแกนนำเสื้อแดงมาอย่างไรชาวบ้านไม่เกี่ยว แต่คุณให้สัญญาแล้ว โดยไม่ได้บอกสักหน่อยว่าถ้าม็อบเสื้อแดงยอมเลิก ผมถึงจะยอมยุบสภา

แถม ศอฉ.ยังประกาศจะสลายการชุมนุมแบบฉั้วๆ ฉัตว์ๆ อีกว่า จะใช้รถหุ้มเกราะ และทหารพร้อมใช้กระสุนจริง ถ้ามวลชนเข้าใกล้ แม้จะมือเปล่า ก็ต้องใช้กระสุนจริงยิงไม่ให้เข้าถึงตัว อ้างว่าจะแย่งอาวุธ

แม่ม! คราวนี้ไม่ใช่ “ทรราชย์ฟันน้ำนม” แล้ว ของแท้มาเอง

ที่จริงผมเคยบอกแล้วว่าไม่กลัว “มิคสัญญี” ถ้าจะเกิด “โดยชอบธรรม” เพราะมันสมควรต้องเกิด เพื่อเขย่าระบอบที่ดำรงอยู่ แต่การจะเกิดตอนนี้ โดยความดันทุรังของแกนนำเสื้อแดงที่เสียความชอบธรรมไปเยอะ ก็อาจทำให้เสื้อแดงแพ้ทั้งกระบวนและกระทบไปถึงพลังประชาธิปไตยทุกส่วน แม้เชื่อว่าวันหน้าฟื้นตัวกลับมาได้ใหม่ แต่ก็เหนื่อยนะครับ สงกรานต์ปีที่แล้วเสื้อแดงเสียการเมืองเพราะคุมกันไม่อยู่แล้วถูกปราบเร็ว แต่ก็ยังเรียกความเห็นใจได้บ้างจากภาพที่เห็นว่านี่ไม่ใช่ม็อบรับจ้างอย่างที่คนชั้นกลางเคยดูถูก แต่คราวนี้ ผมคิดว่าความเสียหายทางการเมืองของเสื้อแดงจะหนักกว่าเพราะความยึกยักยืดเยื้อจนคนอิดหนาระอาใจเบื่อหน่ายไปหมด และจะเข้าทางกระแส “ไทยนี้รักสงบ” อย่างที่เคยพูด

เดิมพันสุดท้ายของเสื้อแดงจึงอยู่ที่ความอำมหิตของมาร์ค และ ศอฉ. ถ้าเข้าปราบปรามด้วยความเหี้ยมโหดรุนแรง ความเห็นใจจึงจะพลิกกลับ ซึ่งก็น่าเศร้าที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของมวลชน หรืออาจจะชีวิตของแกนนำ ดังที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อคืนที่เสธแดงโดนยิง และมวลชนอีกรายถูกยิงเสียชีวิต

ซึ่งครั้งนี้คงจะอ้าง “ชายชุดดำ” ที่ไหนไม่ได้ เพราะชายชุดดำคงไม่ยิงเสธแดง ผู้ที่มี M79 บึ้มครั้งใดก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยทุกที แถม ศอฉ.ยังบอกเองว่า ส่งพลแม่นปืนขึ้นไปประจำทุกตึกสูง

99.99% ปณิธานอย่ามาปฏิเสธเลย รู้อยู่แล้วว่าปณิธานไม่ได้สั่งยิงเสธแดง แต่ใครเขาสั่งปณิธานรู้ด้วยหรือ

น่าเศร้าที่เดิมพันครั้งนี้ทำให้ผมเองก็เศร้าไปด้วย ทั้งที่ไม่เคยเห็นด้วยกับเสธแดง ซึ่งความมุทะลุดุดันแบบเพี้ยนๆ ทำให้ม็อบเสื้อแดงเสียความชอบธรรมไปเยอะ ก่อนถูกยิงเสธแดงยังให้สัมภาษณ์แหม็บๆ ด่าแกนนำฝ่ายสันติวิธีที่ไปเจรจาปรองดองกับรัฐบาล หาว่ารับเงิน

เสธแดงเป็นคนที่ควรถูกเขี่ยออกไปจากการเป็นแกนนำเสื้อแดง ดังที่ประกาศกันไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่พอเสธแดงถูกกำจัดออกไปด้วยลูกปืนของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้รู้สึกเศร้าใจ

ตอนที่เขียนอยู่นี้ก็ยังไม่ทราบข่าวแน่ชัดว่าอาการเสธแดงเป็นอย่างไร ได้แต่เอาใจช่วยขอให้พ้นขีดอันตราย

แปลกเหมือนกันที่พอผมรู้ข่าวเสธแดงถูกยิง ผมกลับเศร้าใจ ในขณะที่ตอนนายทหารถูกยิงเมื่อวันที่ 10 เมษา ผมรู้สึกงั้นๆ อาจจะเพราะผมรู้จักเสธแดงมั้ง แต่ก็อาจจะเพราะบทบาทของเสธแดงด้วย

ที่ว่ารู้จักไม่ใช่ในแง่นิยมชมชื่นนะครับ เสธแดงมีชื่อเป็นข่าวครั้งแรกก็ตอนอยู่กับไตรรงค์ แล้วส่งลูกน้องไปคุกคามไทยโพสต์ ผมนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ตอนที่นายชาลีอะไรนั่น (ตอนหลังได้ข่าวว่าไปเป็น พธม.) มาพูดจายียวนกวนข่ม

ต่อมาอีก 1-2 ปี พอเสธแดงไปโผล่ในรัฐบาลทักษิณ ก็มีการปรับความเข้าใจอย่างไม่เป็นทางการกับแวดวงนักข่าว เปิดตัวปรับท่าที ผมก็เคยไปสัมภาษณ์ ความรู้สึกก็คือนายทหารคนนี้เป็นพวกนอกแถว ห่าม มุทะลุ มีอะไรเพี้ยนๆ (แบบว่าเป็นนายทหารอยู่แล้วยังไปเรียนอีก 5 ปริญญา) แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า “บ้าดีว่ะ” (บ้าได้ใจ)

ความบ้า ห่าม มุทะลุ โดยธรรมชาติของเสธแดง เป็นทั้งตัวอันตราย และก็เป็นเสน่ห์สำหรับคนที่ชื่นชอบจนเรียก “อาแดง” แม้แต่นักข่าวก็เกลียดเสธแดงไม่ลงเพราะความสนุกสนานเฮฮาแบบเพี้ยนๆ (แบบว่าไปทำอะไรผิดๆ มายังคุยฟุ้ง) ผมดูภาพข่าวมวลชนเสื้อแดงร้องไห้ไปรุมล้อมที่โรงพยาบาลแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า ยุคนี้สมัยนี้ มีนายทหารคนไหนที่ “ได้ใจ” ชาวบ้านธรรมดาๆ ขนาดนี้

เสธแดงอาจจะเป็นเหมือนดาบสองคม คือพอไปเข้ากับม็อบเสื้อแดงก็ทำให้เสียหายทางการเมือง แต่ก็เป็นคนหนึ่งที่ปลุกขวัญสร้างความฮึกเหิมให้มวลชน (แบบดาบสองคมอีกนั่นแหละ) เสธแดงไม่ใช่ผู้นำทางการเมือง แต่เหมาะสมที่จะเป็น “หัวหน้ากองโจร” มากกว่า มีคนครหาว่าเสธแดงเป็นนักรบรับจ้าง ผมไม่แปลกใจอะไร แต่ถ้าไม่มีใจ เสธแดงก็คงไม่ระห่ำจนเอาตัวเองเข้ามาแลกอย่างนี้

วันก่อน หนูอ้อยส่งข้อความในเฟซบุคของแพทย์ทหารมาให้ผมอ่าน เขียนแบบได้ใจคนชั้นกลาง ว่าเขาไม่เคยคิดจะทำร้ายประชาชน แต่ทหารของเขาถูกยิง ถูกทำร้าย ถูกด่าว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ผมเลยตอบหนูอ้อยไปสั้นๆ ว่าเพราะทหารเจือกเข้ามาทำรัฐประหาร 19 กันยานะสิ

ไม่ใช่จะบอกว่าถึงตัวคุณไม่ผิดแต่พ่อแม่คุณกวนน้ำให้ขุ่น แต่ผมเห็นว่าข้อเขียนในเฟซบุคของนายทหาร หรือข้อเขียนของนักข่าวถึง “พี่ร่มเกล้า” มักสะท้อนถึงความเป็นคนชั้นกลางคนหนึ่งเหมือนเราๆ ท่านๆ เป็นคนดีๆ ที่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ ตามคำสั่ง ซึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ผิดหรอก แต่สิ่งที่คุณมองไม่เห็นคือความเป็นคนดีของ “สถาบันกองทัพ” ที่เป็นศัตรูกับประชาธิปไตยประชาชน

พูดอีกอย่างคือคุณมองเห็นแต่ภาพความเป็นตัวบุคคล ที่ทหารก็เป็นคนดีๆ (ส่วนใหญ่แม่งน่ารักด้วย นิสัยดีๆเยอะ ทหารส่วนใหญ่ที่ผมเคยคุยด้วยเป็นคนน่ารักน่าคบ) ในความเป็นปัจเจก ทหารตัวเป็นๆ ส่วนใหญ่เป็น “สุภาพบุรุษ” แต่ในความเป็นสถาบัน กองทัพก็คือ “โจร” ปล้นอำนาจอธิปไตยของปวงชน (แถมยังปล้นงบประมาณแผ่นดินไปร่วม 6-7 หมื่นล้านหลังรัฐประหาร) นี่คือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น รวมทั้งความเป็นสถาบันอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือหัวชาวบ้านหรือแม้แต่ข้าราชการด้วยกัน เพราะเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เอาเปรียบสังคมเสียจนเคยชิน แบบว่าจบ จปร.ถ้าไม่ตกขวดเหล้าตายเสียก่อนขี้หมูขี้หมาก็ได้เป็นนายพล มีสิทธิพิเศษโน่นนี่มากมาย มีกำลังพลล้นเกิน มีงบประมาณไม่อั้น (เกิดภัยพิบัติที่ไหนทหารไปช่วยทันใจ เพราะใช้งบได้มากกว่าหน่วยราชการปกติหลายเท่า)

ในความเป็นปัจเจก นายทหารสมัยใหม่มีความรู้กว้างขวาง มีความเข้าใจเรื่องต่างๆ ในสังคมมากขึ้น ประกอบกับความน่ารักแบบทหาร คือใจคอกว้างขวาง ตรงไปตรงมา จึงไม่ต้องแปลกใจที่เว็บไซต์หรือเฟซบุคของนายทหารจะเป็นที่นิยมชมชื่นของคนชั้นกลาง Maxim (จนพวกหมวยลี่ลูกจีนรักชาติกรี๊ดกร๊าดเสียดายว่าทำไมตอนนั้นไม่เอาผัวทหาร)

แต่ในความเป็นสถาบัน ทหารก็คือมนุษย์ที่ถูก “ซ่อม” เสียจนกว่าจะเรียนจบออกมาก็มีหัวสี่เหลี่ยม ถูกตีกรอบที่มองไม่เห็นทางความคิด หน้าที่ของทหารก็คือยาม หรือ รปภ.รับจ้างถืออาวุธเฝ้าบ้าน แต่ดันอ้างว่ามีโจรเข้าบ้านแล้วก็จับเจ้าของบ้านมัด ยึดอำนาจดูแลบ้านเสร็จสรรพ

ในสถานการณ์เช่นนี้ที่เกิดทหารนอกคอกขึ้นคนหนึ่ง ไม่ใช่ตัวดีอะไร อย่างที่บอกว่าพฤติกรรมเหมือนหัวหน้ากองโจร บ้าระห่ำ มุทะลุ จนถูกประณามเป็นอันธพาล แต่ก็เป็นกองโจรที่ต่อต้านสุภาพบุรุษ “โจร” อยู่ที่จะมองในแง่ตัวบุคคลหรือในแง่สถาบัน

ผมจึงเข้าใจได้ว่าทำไมมวลชนแห่กันไปร่ำไห้รุมล้อมหน้าโรงพยาบาล นี่คือความแตกต่าง หลังสถานการณ์นี้ คนดีๆ อย่าง “พี่ร่มเกล้า” ก็จะเปรียบเหมือนอนุสาวรีย์ ขณะที่เสธแดงไม่ใช่วีรบุรุษแน่นอน แต่จะกลายเป็น “ตำนานนอกคอก” ที่อยู่นอกสารบบของ “สถาบันกองทัพ”

อนุสาวรีย์ คือผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการในเชิงองค์กรสถาบัน

แต่ตำนาน คือเรื่องเล่าขานอยู่ในหัวใจคนที่เป็นเบี้ยล่างทั้งมวล

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net