Skip to main content
sharethis

วันนี้ (๒๐พค.๕๓) นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้สัมภาษณ์ย้ำว่า ทุกฝ่ายกำลังช่วยบ้านเมืองให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เห็นได้จากผู้นำชุมชน อาสาสมัคร องค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคม หน่วยงานเอกชน มูลนิธิ วัด ศาสนสถาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร สภากาชาดไทย ได้ออกมาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ร่วมมือกับรัฐเพื่อช่วยกันเฝ้าระวังเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในขณะนี้

นายแพทย์ชูชัยฯ เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึกเพราะหน่วยงานด้านความมั่นคงก็ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เห็นได้จากสถานการณ์ที่พัฒนาในทางที่ดีขึ้น การประกาศกฎอัยการศึกจะไปทำให้เกิดความเข้าใจว่าสถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นจนยากที่รัฐบาลจะควบคุมได้ สำหรับการที่บางฝ่ายเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ยหรือส่งกองกำลังเข้ามารักษาความสงบนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกลและไม่จำเป็น โดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่มีปัญหามายาวนานและร้ายแรงกว่าของไทยมาก สหประชาชาติเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้               

แม้จะมีผู้ก่อความไม่สงบ ทำลายทรัพย์สิน อาคารร้านค้า สถานที่ราชการบางแห่ง ในขณะนี้ แต่เป็นการกระทำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมไม่เห็นด้วยและประณามการกระทำดังกล่าว และแม้จะไม่เห็นด้วย ก็มิได้ออกมาทำร้ายกันหรือไล่เข่นฆ่ากันเช่นที่เกิดในประเทศอื่น  แต่คนไทยจะช่วยห้ามปรามกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เป็นการที่ผู้คนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและไล่สังหารกันอย่างที่มีความพยายามให้สื่อและสังคมต่างประเทศเข้าใจเช่นนั้น นายแพทย์ชูชัยฯ ให้ข้อสังเกต

 “สังคมไทยที่ผ่านมา ได้ผ่านวิกฤติทางสังคมและความขัดแย้งที่รุนแรงมาหลายรอบแต่ไม่ขยายตัวออกไปจนควบคุมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่รักบ้านรักเมืองคือ ความพร้อมจะให้อภัย ความรักสันติ และความพร้อมที่จะก้าวผ่านวิกฤติและกลับมาเริ่มต้นในสิ่งที่ดีและอยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกัน” นายแพทย์ชูชัยฯ ให้ข้อคิดว่า บ้านเมืองก็อยู่รอดมาได้เพราะจิตวิญญาณดังกล่าว ที่ต่างชาติเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้และเอาอย่างได้ยาก

ด้าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม.ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง ของคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ว่า รัฐบาลอาจจะชนะที่พื้นที่ราชประสงค์ สามารถกดดันแกนนำ นปช.ให้ยอมเข้ามอบตัวได้ แต่ภาพรวมทั่วประเทศยังไม่จบ ประเทศยังเป็นอนาธิปไตย เพราะในหลายจังหวัดยังมีการเผาศาลากลางจังหวัด เผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัด บุกทุบทำลายทรัพย์สินสาธารณะ โดยเฉพาะที่จังหวัดอุบลราชธานี มีการเผาศาลกลางจังหวัดกลางวันแสกๆ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยืนดูเฉยๆไม่สามารถทำอะไรได้

ส่วนประชาชนที่จะเข้าไปห้ามปรามก็จะถูกทำร้าย นอกจากนี้ยังมีการพูดปลุกระดมผ่านวิทยุชุมชน สั่งการให้ไปเผาตามสถานที่สำคัญต่างๆ ดังนั้นรัฐบาลจะเอาเหตุการณ์ที่กรุงเทพฯ มาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ การเผาสถานที่ราชการ การปล้นการฆ่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการก่ออาชญากรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้ว ดังนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบังคับใช้กฎหมายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอย่างเคร่งครัด จัดการกับกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างว่า ใช้สิทธิพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ แต่ความจริงแล้วกำลังละเมิดสิทธิผู้อื่นอย่างร้ายแรง ก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามไปมากกว่านี้

ส่วนการประกาศเคอร์ฟิวส์ ห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานในยามวิกาลนั้น ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนและผู้ชุมนุม เพราะเป็นเรื่องของการควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ต้องเข้าใจว่ากลุ่มคนที่จ้องจะใช้ความรุนแรง เผาบ้านเผาเมืองยังมีอยู่ ส่วนการดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์นั้น ที่ผ่านมา กสม.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10เม.ย. และมีความเป็นไปได้ว่า ภายหลังจากที่เหตุการณ์สงบลงแล้ว ทางอนุกรรมการชุดดังกล่าวจะมีการสอบสวนขยายผลไปถึงเหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามการตรวจสอบนี้สังคมไทยจะต้องแยกแยะให้ออกระหว่างการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธ กับการก่อการร้ายที่ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net