ภาพจากเพจบ้านราษฎร์

7 มี.ค. 2560 เวลา 9.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ มีกำหนดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดี 112 ของ ยศวริศ ชูกล่อม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เจ๋ง ดอกจิก อายุ 59 ปี ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงพาณิชย์ และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการขึ้นเวทีปราศรัยบนเวที นปช. เชิงสะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2553 ต่อหน้าประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก และยังมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ โดยก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก 2 ปี

เวลาประมาณ 9.45 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยจำเลยฎีกาต่อสู้ แต่ศาลเห็นว่าจำเลยมีความจงใจในการดึงเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และหมิ่นประมาทแก่บุคคลหลายฝ่าย รวมทั้งพระมหากษัตริย์ฯ แม้ไม่ได้เป็นการกล่าวถึงโดยตรงแต่ก็เป็นการแสดงท่าทางอันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเชื่อมโยงไปถึง ศาลฎีกาจึงเห็นควรตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้ ศาลฎีกากล่าวว่า แม้ว่าคำพูดของจำเลยนั้นไม่เฉพาะเจาะจง แต่ระหว่างที่จำเลยพูดนั้นได้ใช้มือจับที่ปาก  เป็นการบ่งบอกว่า ยังมีผู้ที่สูงกว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และผู้นั้นต้องมีสถานะที่สูงยิ่ง เพราะแม้แต่ พลเอกเปรม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังถูกจำเลยปราศรัยโจมตี

คดีนี้ ยศวริศถูกดำเนินคดีหลังขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน เมื่อปี 2553 ข้อความตอนหนึ่งของเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และต่อสู้คดีเรื่อยมา มกราคม 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษจำคุกยศวริศ 3 ปี แต่เนื่องจากคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี มีเหตุให้บรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี ก่อนที่เขาจะได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์โดยใช้หลักทรัพย์ 500,000 บาท

กระทั่ง 1 พฤษภาคม 2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกยศวริศ เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา แม้ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษายศวริศจะยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา แต่ศาลอาญาสั่งให้ส่งเรื่องการประกันตัวให้ศาลฎีกาพิจารณา จำเลยจึงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จากนั้น 23 กันยายน 2557 ยศวริศ ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ โดยทนายความยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 700,000 บาทเพื่อต่อสู้ในชั้นฎีกา