Skip to main content
sharethis

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีเขื่อนปากแบง ระบุ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ปี 2535  ไม่คุ้มครองข้ามพรมแดน กลุ่มรักษ์เชียงของและผู้ฟ้องคดี ชี้ความเสียหายเกิดแล้วแต่การคุ้มครองผลกระทบข้ามพรมแดนกลับไม่มี เสนอสร้างกฎหมายเป็นกลไกปกป้อง

24 ก.พ.2564 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์และสื่อสาร (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) องค์กรแม่น้ำนานาชาติ ว่า วันนี้ (24 ก.พ.64) ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีเขื่อนปากแบง โดยมีตัวแทนผู้ฟ้องคดีกลุ่มรักษ์เชียงของ ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชนและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขง 8 จังหวัด จำนวน 6 คน เข้ารับฟังคำสั่งศาลในครั้งนี้

เฉลิมศรี ประเสริฐศรี ทนายความกล่าวว่าคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2560 ตัวแทนกลุ่มรักษ์เชียงของจำนวน 4 รายได้ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐคือ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ/สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย

โดยคำฟ้องระบุว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นจากโครงการเขื่อนปากแบงตามกระบวนการแจ้ง ปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง(PNPCA)ไม่ครบถ้วนทุกจังหวัดริมแม่น้ำโขงประเทศไทย
ขอให้มีคำพิพากษาว่า (1)เป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้เพิกถอนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนปากแบงในประเทศไทยและที่ได้ดำเนินการส่งไปยังคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงหรือ MRC ทั้งสิ้น (2)ขอให้มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่จะเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมชุมชนในผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการบนแม่น้ำโขง
โดยเฉพาะการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสมการรับฟังความคิดเห็นอย่างพอเพียงและจริงจัง การแปลเอกสารเป็นภาษาไทยเกี่ยวกับโครงการทั้งหมดและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสุขภาพสังคมทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้านหรือผลกระทบข้ามพรมแดนซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดนก่อนที่รัฐบาลลาวจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างเขื่อนปากแบงและ/หรือก่อนที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และ(3)ขอให้มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดำเนินการออกกฎหมาย กฎระเบียบและแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ เกี่ยวกับการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน
ให้สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักไทย(4) ขอให้มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดำเนินการทักท้วงและคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนในลำน้ำโขงโดยเฉพาะเขื่อนปากแบงต่อคณะกรรมการการแม่น้ำโขงและต่อสปป.ลาว และ (5)ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนปากแบงในสปป.ลาว จนกว่าจะมีการศึกษามาตรการที่มั่นใจได้ว่า โครงการจะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนไทย

ทนายความกล่าวอีกว่าต่อมา เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2560 ศาลปกครองมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องกรณีของเขื่อนปากแบงและทางกลุ่มรักษ์เชียงของก็ได้มีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2560 และศาลได้นัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าวในวันนี้ (24 ก.พ. 2564)

โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีเขื่อนปากแบง โดยให้เหตุผลว่า (1) การจัดรับฟังความคิดเห็นตามกระบวนการ PNPCA เป็นการดำเนินการตามข้อตกลงแม่น้ำโขง ซึ่งพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐไทยไปลงนามเป็นภาคีไว้ จึงไม่อาจจำเอากฎหมายไทยมาบังคับใช้และรัฐไม่ได้มีอำนาจในการอนุมัติ อนุญาต เพิกถอนโครงการดังกล่าวได้
เนื่องจากไม่อยู่ในอธิบไตย (โครงการอยู่ในสปป.ลาว) (2)การฟ้องให้ผู้ถูกฟ้องคดี ออกข้อบังคับต่างๆ ในกรณีผลกระทบข้ามพรมแดน เช่น การออกกฎหมายการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก
พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ปี 2535ไม่มีการบัญญัติเรื่องการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนไว้และหน่วยงานผู้ถูกฟ้องคดี ไม่ใช่หน่วยงานตามกฎหมายที่จะออกได้ (3)สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)ที่ปฏิบัติงานในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งประเทศไทยดำเนินนการในฐานะตัวแทนของรัฐบาล การทำความเห็นเกี่ยวกับเขื่อนปากแบง
ตามที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องนั้น ถือเป็นการดำเนินการตามอำนาจบริหารของรัฐบาลไม่ถือเป็นการกระทำทางปกครอง  ที่ศาลปกครองจะรับฟ้องได้คำขอที่ให้สทนช.มีข้อแนะนำ หรือข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานภายใน กฟผ. และหน่วยงานอื่น ให้พิจารณาการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเขื่อนปากแบงก็ไม่ใช่เป็นการกระทำทางการปกครองที่จะรับฟ้องได้ จึงถือว่าคดีถึงที่สุด

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว กลุ่มรักษ์เชียงของและผู้ฟ้องคดีที่ 2 กล่าวว่า มองเห็นว่าที่ศาลไม่รับฟ้องเนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎหมายเงินข้ามพรมแดนไปแล้วแต่กฎหมายไม่ตามไปด้วย พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พศ.2535 ไม่ครอบคลุม ความเสียหายเกิดแล้วแต่การคุ้มครองผลกระทบข้ามพรมแดนไม่มี นี่เป็นจุดสำคัญที่ต้องทำให้แม่น้ำโขงได้รับการปกป้องเวลานี้แม่น้ำโขงเปล่าเปลือย ไร้เครื่องปกป้อง ต้องปรับและสร้างกลไกปกป้องเราคงไม่สามารถปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้ วันนี้ไม่มีกฎหมายก็ต้องสร้างมันขึ้นมา การเงินที่เป็นธรรมก็เป็นเรื่องที่สำคัญยังจะมีโครงการเขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนสานะคามมาอีก เราก็ต้องฟ้องอีกอย่างน้อยคือสาธารณะได้รับรู้ร่วมกันว่าประเทศไทยมีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านและส่งผลกระทบถึงชุมชนในไทย แต่ไม่มีการปกป้องคุ้มครองถึงที่สุดแล้วการตัดสินใจต้องอยู่บนฐานของวิชาการ ข้อมูล

ผู้พัฒนาโครงการคือ บริษัทไชน่า ต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสเมนต์ จำกัด (China Datang Oversea Investment Co.,Ltd (CDTO) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติจีน โครงการเขื่อนปากแบง ได้เข้าสู่กระบวนการแจ้งล่วงหน้าและปรึกษาหารือ(PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง พ.ศ. 2538 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2559 และครบระยะเวลา 6 เดือน วันที่ 19 มิ.ย. 2560 ขณะนั้นกรมทรัพยากรน้ำในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยได้มีการจัดเวทีให้ข้อมูลใน 3 จังหวัด รวม 4 ครั้งคือ จังหวัดเชียงราย 2 ครั้ง จังหวัดหนองคาย 1 ครั้ง จังหวัดอุบลราชธานี 1 ครั้ง

ประเด็นที่ชาวบ้านกังวลหนักคือ ผลกระทบจากภาวะ “น้ำเท้อ” จากท้ายอ่างเก็บน้ำของเขื่อนปากแบง ในเขตชายแดนไทยบริเวณ อ.เวียงแก่น เชียงของ เชียงแสน และผลกระทบต่อลุ่มน้ำสาขาคือ น้ำงาว และน้ำอิง ซึ่งในรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ไม่มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน นอกจากนี้ยังมีข้อกังลเรื่องผลกระทบสะสมจากเขื่อนจิงหง หนึ่งใน 11 เขื่อนแม่น้ำโขงตอนบนของจีน ที่สร้างผลกระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำโขง ส่งผลต่อระบบนิเวศ การอพยพของปลา ปริมาณตะกอน การเกษตร ประมงพื้นบ้าน รายได้ของชุมชน และตลิ่งพัง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โครงการดังกล่าวก็ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างและยังไม่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net