Skip to main content
sharethis

องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิจัดเวทีเสวนาออนไลน์หัวข้อ "ความตายจากรัฐไม่อาจปฏิเสธการเยียวยากรณีชัยภูมิ ป่าแส"

  • ทนายความแจงรายประเด็นที่ไม่สามารถเห็นพ้องต่อคำพิพากษาของศาลได้ พร้อมระบุมี กม.ป.วิอาญาที่ให้อำนาจอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนสำนวนวิสามัญฆาตกรรมได้ ตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุได้ แต่กระบวนการนี้ไม่เกิด  
  • ขณะที่ 'อังคณา' อดีตกสม.เปิดข้อมูลมีชาวบ้านแสดงตัว ต้องการมาเป็นพยานให้ตั้งแต่ชั้นสอบสวน แต่ถูกข่มขู่คุกคามจน พร้อมหวังผู้พิพากษาจะให้มีการฎีกาในคดีจนถึงที่สุด และหวังเห็นกล้องวรจรปิดถูกเปิด
  • ครอบครัวเสียใจและผิดหวังกับผลคำพิพากษา พร้อมเตรียมเดินหน้ายื่นฎีกาต่อ
  • ด้านองค์กร Protection International ระบุการวิสามัญฆาตกรรมเป็นการตัดตอนสิทธิในการใช้กระบวนการยุติธรรม พร้อมคาดหวังให้กระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลให้หลักประกันคุ้มครองสิทธิในการมีชีวิตของประชาชนและสิทธิในการเยียวยา ชี้ UN มีการตั้งผู้แทนพิเศษเรื่องการสังหารนอกระบบ กระบวนการยุติธรรมอย่างรวบรัดและพลการซึ่งไทยอยู่ในกลไก กม.ระหว่างประเทศสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ แต่ได้นำกลับมาใช้ในประเทศด้วยหรือไม่ 

ภาพขณะเจ้าหน้าที่ทหาหน้าที่ตรวจค้นรถ ก่อนที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2560

องค์กร Protection international ร่วมกับกลุ่มดินสอสี กลุ่มด้วยใจรัก (รักษ์ลาหู่) และสำนักข่าว The reporters จัดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ความตายจากรัฐไม่อาจปฏิเสธการเยียวยากรณีชัยภูมิ ป่าแส" ภายหลังจากศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาคดีครอบครัวของชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรกรรมชาติพันธ์ุลาหู่ ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560 โดยมี นาปอย ป่าแส มารดาของชัยภูมิ ป่าแส, ยุพิน ซาจ๊ะ, นาหวะ จะอื่อ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มด้วยใจรักซึ่งเป็นผู้ดูแลชัยภูมิ, ไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้ก่อตั้งกลุ่มด้วยใจรัก(รักษ์ล่าหู่), รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวชัยภูมิ, อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและเจ้าของรางวัลแมกไซไซปี พ.ศ.2562, วรพจน์ โอสถาภิรัตน์ กลุ่มดินสอสี และปรานม สมวงศ์ จาก Protection International เข้าร่วมในเวทีเสวนา และดำเนินรายการโดย ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The reporters เป็นผู้ดำเนินรายการ

ทนายความอุทธรณ์กล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์วันเกิดเหตุไม่ถูกนำมาสู่สำนวนของการพิจารณาดคี

รัษฎากล่าวว่าถึงรายละเอียดในการพิพาษาคดีของศาลเมื่อวันที่ 26.ค.ที่ผ่านมาว่า  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือยกฟ้องฝ่ายโจทก์ ซึ่งเหตุผลที่ศาลวินิจฉัยนั้นเพราะเห็นว่าการที่พลทหารสุรศักดิ์ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงชัยภูมิ ป่าแสนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ กองทัพบกจึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย ตรงนี้เป็นข้อวินิจฉัยโดยหลักใหญ่ ศาลได้วินิจฉัยที่เราซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งไว้หลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของกล้องวงจรปิดที่เราพยายามที่จะให้จำเลยซึ่งเป็นกองทัพบกที่เป็นผู้ครอบครองพยานหลักฐานวัตถุสำคัญคือภาพจากกล้องวงจรปิด ออกมาประกอบการพิจารณาคดี แต่เราก็ไม่ได้รับมา เพราะพยานหลักฐานที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดถือเป็นพยานหลักฐานที่มีคุณค่ามีความน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของบุคคล หรือมีความน่าเชื่อถือกว่าเจ้าหน้าที่ทหารในที่เกิดเหตุ คดีนี้ชัยภูมิเสียชีวิตแล้ว เขาพูดอะไรไม่ได้ แต่ปรากฎว่าในคดีนี้มีหลักฐานว่าฝ่ายทหารได้ทำสำเนา ภาพจากกล้องวงจรปิดในเหตุการณ์วันเกิดเหตุไว้ แต่ก็ไม่ได้รับการนำมาเปิดเผย ซึ่งจากคำให้การของพยานเจ้าหน้าที่ทหาร เราได้พยายามที่จะเอาหลักฐานเหล่านี้มาแสดงในชั้นศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีไต่สวนการตายของชัยภูมิ จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีพยานหลักฐานนี้ปรากฏทั้งทั้งที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดิมที่เป็นอดีตเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ว่าตัวท่านนั้นได้ดูภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดแล้ว หรือรองแม่ทัพภาคที่สามก็ดูเหมือนจะเคยให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้เช่นกันว่า ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่เราได้อุทธรณ์ไปว่ากองทัพบกควรที่จะต้องแสดงความสุจริตและแสดงความเป็นกลางให้เห็นว่าที่ทหารกล่าวอ้างว่าจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิง ชัยภูมิเพื่อป้องกันตัว เพราะชัยภูมิจะใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ทหารเป็นความจริงหรือไม่ นี่ก็เป็นเรื่องที่เราโต้แย้งไป  แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยว่าแม้ไม่ได้พยานวัตถุสำคัญนี้ แต่ก็ยังมีถ้อยคำของพยานบุคคลซึ่งนำมาพิจารณาได้ตรงนี้เราก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราพยายามแล้วอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพยานหลักฐานสำคัญเข้าสู่สำนวน

รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวชัยภูมิ (แฟ้มภาพ ประชาไท)

ทนายความยื่นคำให้การของคุณครูและนักเรียนรร.เชียงดาวอุทธรณ์ระบุชัยภูมิเป็นเด็กที่มีจิตอาสา มีความกตัญญู มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือสังคม

ประเด็นที่สองเรื่องของพฤติการณ์ความประพฤติของชัยภูมิ ป่าแส คดีนี้เราได้ยกประเด็นในเรื่องของข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานซึ่งเป็นคุณครูจากโรงเรียนเชียงดาววิทยาคมซึ่งชัยภูมิเรียนอยู่ขณะเกิดเหตุ ครูพูดถึงพฤติกรรมของชัยภูมิว่าเป็นเด็กที่เป็นจิตอาสา และมีความกตัญญู มีความเอื้อเฟื้อที่จะช่วยเหลือ งานสังคมส่วนรวมมาโดยตลอด ศาลท่านก็หยิบคำให้การของครูและเพื่อนนักเรียนร่วมโรงเรียนพูดถึงความประพฤติของชัยภูมิประกอบกับหลักฐานของการได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนซึ่งเลือกโดยนักเรียนทั้งโรงเรียนและครูทั้งโรงเรียนลงคะแนนเสียง แต่ศาลก็เห็นว่าพยานหลักฐานเหล่านี้ไม่ใช่พยานในที่เกิดเหตุ พที่จะเห็นเหตุการณ์ ดังนั้นก็ไม่ได้นำมารับฟัง

ศาลเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่เบิกความในศาลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานปากที่เป็นประจักษ์พยานชาวบ้านที่อยู่ในที่เกิดเหตุ

ส่วนพยานปากที่เป็นประจักษ์พยาน ชาวบ้านที่อยู่ในที่เกิดเหตุเขาอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุได้ยินเสียงเอะอะก็เห็นการตรวจค้นรถของทหาร แต่ตอนที่เขาใส่ใจก็คือตอนที่ได้ยินเสียงปืนในการที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงลงพื้นหนึ่งนัดแรกเขาหันไปมองและเห็นเหตุการณ์ เหล่านี้ศาลอุทธรณ์ก็หยิบคำของพยานปากนี้มาฟังและเห็นว่าพยานปากนี้ยังเบิกความไม่ตรงกับคำให้การของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสามปาก ซึ่งสามปากของเจ้าหน้าที่ทหารนั้นมีพยาน เล่าเหตุการณ์ และศาลเห็นว่าพยานฝ่ายโจทก์ที่เป็นชาวบ้านคนนี้น่าจะอยู่ในภาวะอาจจะต้องระวังภัยหรือ กลัวอันตราย เพราะอาจจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน ก็ยังฟังว่าพยานฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารที่เบิกความในศาลมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่า

ศาลเห็นว่าจุดกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่ยิงชัยภูมิ ไม่ประสงค์ให้เกิดการเสียชีวิต 

สำหรับเรื่องของวัตถุระเบิดที่พบที่ศพของชัยภูมิ ทางศาลเห็นว่าจุดที่กระสุนปืนเอ็ม 16 ยิงนั้นเข้าไปทั้งต้นแขนด้านซ้ายของชัยภูมิ ดังนั้นเจตนาการยิงนั้นแสดงว่ามีการยิงที่ต้นแขนก็อาจจะไม่ได้ประสงค์ให้เกิดการเสียชีวิต ตรงนี้เป็นประเด็นที่เราโต้แย้งไว้ในชั้นอุทธรณ์เราเห็นว่ามันเป็นอาวุธที่มีสภาพร้ายแรง

แม้พยานที่เป็นตำรวจฝ่ายเชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดมาเป็นพยานว่าวัตถุระเบิดที่เกิดเหตุยังไม่ได้มีการเปิดฝาเกลียว ยังไม่ถึงขั้นตอนของการจะขว้าง และด้ามจับระเบิดไม่มี DNA ของชัยภูมิ ศาลก็เห็นว่าอาจจะเพราะปริมาณน้อยจึงตรวจไม่พบ และเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทหารยิงเพื่อป้องกันภัยจากระเบิด

และวัตถุระเบิดของกลางที่เป็นวัตถุระเบิดแบบขว้างนั้นปรากฎว่าการใช้ขั้นตอนวัตถุระเบิดแบบขว้างจะต้องเปิดฝาเกลียวของระเบิด เมื่อเปิดฝาเกลียวการใช้ต้องดึงสายชนวนออกมาก่อนแล้วจึงจะจับที่ด้ามระเบิดแล้วเพื่อขว้าง แต่ปรากฎว่าพยานวัตถุระเบิดที่เกิดเหตุยังไม่ได้มีการเปิดฝาเกลียว ขั้นตอนของการใช้มันยังไม่ถึงขั้นตอนของการจะขว้าง เพราะมันจะต้องเปิดฝาเกลียวแล้วดึงสายชนวนแล้วถึงจะเงื้อขว้าง ตรงนี้เป็นพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายเชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดมาให้ถ้อยคำ ส่วนประเด็นนี้ศาลก็ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันภัยจากระเบิดนี่เป็นประเด็นที่วินิจฉัย  และในส่วนประเด็นที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการตรวจไม่พบสารพันธุกรรม DNAของชัยภูมิที่ด้ามจับระเบิด ที่เราได้ยื่นอุทธรณ์ไปนั้นศาลก็เห็นว่าอาจจะเพราะปริมาณน้อยจึงตรวจไม่พบ ซึ่งถ้าหากโดยทั่วไประเบิดแบบขว้างนั้นการจับระเบิดเพื่อขว้างต้องจับทั้งฝ่ามือ ก็เลยเป็นประเด็น ก็จึงเป็นประเด็นทั้งหมด เป็นประเด็นที่เราได้อุทธรณ์ไปเหมือนดังที่วิทยากรถาม

ประเด็นยาเสพติดทนายระบุไม่มีการเก็บหลักฐานโดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและหีบห่อที่บรรจุพยานวัตถุยาเสพติดไม่มีลายนิ้วมือ ของชัยภูมิ ป่าแส

ในประเด็นเรื่องยาเสพติดเมื่อมีการตายเกิดขึ้นโดยการวิสามัญฆาตกรรมก็มักจะมีพยานวัตถุในที่เกิดเหตุบอกว่ามียาอยู่ที่รถคันเกิดเหตุ คล้ายๆกับกรณีของอะเบที่บอกว่าพบว่ามียาเสพติด แต่ตนจะเรียนว่าข้อเท็จจริงเรื่องยาเสพติดพนักงานที่ลงไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุไม่ได้เป็นคนตรวจเก็บด้วยตนเอง พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้เอาพนักงานพิสูจน์หลักฐานที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่เพื่อตรวจที่เกิดเหตุร่วมกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ดังนั้นคดีนี้จึงไม่มีการเก็บหลักฐานโดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานซึ่งปรากฎว่าพนักงานสอบสวนคนนี้ก็ยอมรับว่ายาเสพติดที่พบเขาไม่ได้ไปพบที่ผู้ตาย แต่เจ้าหน้าที่ทหารเป็นคนไปตรวจรับและมาบอกกับพนักงานสอบสวนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ นี่ก็เป็นข้อน่าสังเกตุดังนั้นหีบห่อที่บรรจุพยานวัตถุยาเสพติดเหล่านี้ไม่มีลายนิ้วมือ ของชัยภูมิ ป่าแส แต่อย่างใด

ศาลวินิจฉัยแล้วว่าเมื่อเป็นการกระทำป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียหาย คือการยกฟ้อง

ประเด็นของคดีนี้คือพลทหารสุรศักดิ์ได้กระทำการละเมิดต่อผู้ตายละเมิดต่อโจทก์หรือไม่  และกองทัพบกในฐานะที่กำกับดูแลบังคับบัญชา จะต้องรับผิดชอบดูแลชดใช้ค่าเสียหายทดแทนหรือไม่ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเมื่อเป็นการกระทำป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียหาย คือการยกฟ้อง

ยันเคารพในดุลยพินิจของศาล แต่ไม่สามารถเห็นพ้องได้ในหลายประเด็น 

"ถ้าถามว่าในฐานะนักกฎหมายก็เคารพในดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาแต่ก็ยังไม่เห็นพ้องด้วย และผมคิดว่าการต่อสู้ของครอบครัวชัยภูมิที่เขาเรียกร้องสิทธิของพวกเขาโดยชอบก็ควรที่จะได้ต่อสู้อย่างถึงที่สุดอย่างเต็มที่ เพราะเขาสูญเสียชัยภูมิซึ่งเป็นที่รักของเขาไป ถ้าหากมีช่องทางใดที่เขาจะฎีกาได้จนถึงที่สุดก็เห็นควรที่เขาจะทำ เราก็คิดถึงว่านอกจากชัยภูมิแล้วคนอื่นๆ หรือประชาชนคนอื่นๆ ที่จะถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐมันเป็นเรื่องร้ายแรง มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องหามาตรการมาพูดคุยกันว่ามีส่วนใด หรือฝ่ายใด ที่จะต้องมาพูดคุยปรับการทำงาน  ซึ่งก่อนคดีชัยภูมิ ป่าแส เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนมีกรณีประชาชนชาวบ้านในพื้นที่คือนายอะเบ แซ่หมู่ ก็ถูกวิสามัญฆาตกรรมในลักษณะเดียวกันแล้วก็มีระเบิดไปอยู่ข้างตัวเขา คดีนี้ก็คือมีลักษณะการไต่สวนการตายลักษณะเช่นเดียวกับคดีของชัยภูมิ และศาลก็มีคำสั่งว่านายอะเบ แซ่หมู่ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงถึงแก่ความตาย และไม่เชื่อในประเด็นเรื่องมีระเบิด และประเด็นยาเสพติดที่บอกว่าเป็นของกลางและศาลแพ่งก็มีคำพิพากษาให้กองทัพบกชดใช้ให้กับครอบครัวของ อะเบ แซ่หมู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราได้พบเหตุการณ์ตอนที่เราไปลงพื้นที่กับคณะทำงานคดีความของชัยภูมิและได้รับการร้องเรียน คือ คุณแม่ของผู้ตายเป็นคนมาร้องเรียน  อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น กับเรื่องลักษณะแบบนี้เราก็ต้องหามาตรการอะไรที่จะป้องกัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นการมอบอาวุธร้ายแรงให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งมีวิจารณญานอาจจะไม่สูงพอ ว่าควรจะใช้อาวุธหรือไม่ควรใช้อาวุธ" รัษฎาระบุ

รัษฎา มนูรัษฎา (กลาง)

กม.ป.วิอาญาให้อำนาจอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนสำนวนวิสามัญฆาตกรรมได้ ตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุได้ แต่กระบวนการไม่เกิด ระบุกระบวนการยุติธรรมต้องมีใจที่เป็นกลางและให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่ายแต่มันได้ขาดหายไปในกระบวนการชั้นสอบสวน 

ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวชัยภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า  การที่ประชาชนเสียชีวิตโดยการวิสามัญของเจ้าหน้าที่รัฐ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้พยายามที่จะสร้างกระบวนการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อ้างว่าเขามีความจำเป็นต้องกระทำหรือทำไปเพื่อป้องกันตัว ซึ่งกฎหมายตัวนี้ให้อำนาจอัยการเข้าไปร่วมสอบสวนในสำนวนวิสามัญฆาตกรรม ดังนั้นบทบาทของพนักงานอัยการ ตนอยากจะให้พนักงานอัยการได้ใช้บทบาทของท่านอย่างเต็มที่เต็มความสามารถ ท่านเป็นนักกฎหมาย ท่านลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เราจะต้องรู้ว่าพยานหลักฐานใดมีความสำคัญจำเป็นต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ดังนั้นหากเรามีใจที่เป็นกลางและอยากให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ทั้งประชาชนที่เสียชีวิต อย่างพยานหลักฐานที่คุณค่า ภาพจากกล้องวงจรปิดปัจจุบันมันสามารถพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น เราสามารถตามจับตัวบุคคลนั้นได้โดยเร็วเพราะกล้องวงจรปิดมันจะแสดงถึงรูปพรรณสันฐานสูงต่ำดำขาวสวมเสื้อผ้า ยานพาหนะที่ใช้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นหลักฐานที่มีคุณค่า ดังนั้นบุคลากรจากกระบวนการยุติธรรมต้องมีใจที่เป็นกลางและให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่าย สิ่งนี้ตนเห็นว่ามันได้ขาดหายไปในกระบวนการชั้นสอบสวน 

ทนายระบุองค์คณะของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีใช้อำนาจอิสระในการพิจารณา

รัษฎาระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อมาถึงชั้นศาลการไต่สวนการเสียชีวิตคดีนี้ตอนไต่สวนการตาย เมื่อไต่สวนพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จแล้วฝ่ายทนายของชัยภูมิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาประกอบการพิจารณาซึ่งเราได้แถลงว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ให้ถ้อยคำไว้กับพนักงานสอบสวนตามเอกสารในสำนวนคดีแล้วว่ากล้องวงจรปิดสามารถใช้ได้ 6 ตัวและมีกล้องที่ส่องไปยังจัดรถยนต์ที่ตรวจค้นด้วย ศาลที่ท่านพิจารณาก็พยักหน้าแต่ขอปรึกษาหัวหน้าศาลก่อน หลังจากท่านไปปรึกษาหัวหน้าศาลที่ท่านไม่ได้นั่งพิจารณาคดีท่านก็กลับมาบอกว่าศาลขอยกคำร้อง เราก็รู้สึกแล้วว่าองค์คณะของผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนี้แหละเป็นผู้ที่จะใช้อำนาจอิสระในการพิจารณา แล้วใช้ความเห็นว่าพยานหลักฐานใดมีความสำคัญและจำเป็นต่อคดี ไม่จำเป็นจะต้องไปปรึกษาผู้บังคับบัญชาที่ไม่ได้มานั่งพิจารณาคดี เพราะอำนาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ศาลใช้ดุลยพินิจได้ ตรงนี้เราก็รู้สึกว่าเราขาดในสิ่งที่เราอยากจะเข้าถึง ประชาชนที่เขาข้องใจการเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่เขากล่างอ้างว่าเขาจำเป็นต้องยิง ดังนั้นพยานวัตถุที่มีคุณค่านี้มันจึงจำเป็นที่จะพิสูจน์ได้  

เตรียมยื่นฎีกาแม้จะถูกสกัด 

"ในส่วนของคดีชัยภูมิเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นมันจะค่อนข้างมีความยาก การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็อาจจะถูกสกัดและศาลฎีกาก็จะหยิบคำวินิจฉัยของศาลล่างและประเด็นข้อเท็จจริงมาประกอบคำพิพากษาศาลฎีกาและการจะนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาในระยะหลังมีข้อสกัดค่อนข้างจะลำบากก็จะฝากไว้กับท่านผู้พิพากษาที่นั่งอยู่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หากท่านเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีประเด็นควรสู่ศาลสูงสุดและท่านรับรองก็จะถือว่าเป็นความกรุณาต่อประชาชนที่ยากไร้" ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวชัยภูมิระบุ

อดีตกสม.เปิดข้อมูลมีพยานที่แสดงตัวเห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ แต่ถูกข่มขู่จนต้องหนีข้ามประเทศ พร้อมหวังผู้พิพากษาจะกรุณารับรองให้มีการฎีกาในคดีจนถึงที่สุด และหวังเห็นกล้องวงจรปิดถูกเปิดในการพิจาณาคดีในชั้นศาลฎีกา

อังคณากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการวิสามัญฆาตกรรมกับการตายโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐโดยมีข้อกำหนดว่าสิ่งที่รัฐจะอ้างในการทำวิสามัญฆาตกรรมจะต้องเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการป้องกันชีวิตของตนเองหรือการป้องกันชีวิตของคนอื่น และเมื่อครั้งที่ตนได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุ บริเวณที่เกิดเหตุไม่ได้เป็นที่รกหรือเป็นป่า ที่เกิดเหตุมีลักษณะเป็นที่โล่งมีป้อมตำรวจเป็นป้อมร้างฝั่งตรงข้ามเป็นหมู่บ้านลีซอ มีคนเดินไปเดินมาตลอดเวลา มีกล้องวงจรปิดหลายตัว ในกรณีการเสียชีวิตของชัยภูมิเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ชัยภูมิเองเป็นเยาวชนกลุ่มชาติพันธ์ลาหู่ที่คนในประเทศไทยเรียกว่ามูเซอดำ มีความเชื่อว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดบริเวณบ้านที่พักอาศัยอยู่ในเขตควบคุมในเวลาที่ต้องไปโรงเรียนจะต้องผ่านด่านมีการตรวจทุกครั้ง เวลาที่จะไปเรียนหนังสือหรือจะเข้าไปกรุงเทพมหานครจะต้องมีการขออนุญาตด้วย นอกจากนี้ในขณะที่ตนลงพื้นที่ในฐานะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในขณะนั้นได้มีคนชาติพันธ์ที่อยู่บริเวณนั้นเดินเข้ามาหา และบอกว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์และอยากจะมาเป็นพยานให้ หลังจากนั้นติดต่อเขาไม่ได้และทราบมาว่าหลบไปที่ประเทศเพื่อนบ้านคาดว่ามีเจ้าหน้าที่ไปคุกคาม  

ในกรณีนี้การหาพยานหลักฐานเป็นเรื่องยากมากในการเข้าถึงความยุติธรรมหรือการเยียวยาศาลเองจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการได้สัดส่วนของการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่การที่เจ้าหน้าที่ใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงจากข้างหลังถึงแม้ว่าจะเป็นการยิงเข้าแขนซ้ายแต่กระสุนทะลุลำตัวเข้ามาทำให้ถูกอวัยวะสำคัญจนถึงแก่ความตาย 

ส่วนตัวเคารพคำพิพากษาของศาล แต่มีคำถามหลายเรื่องเมื่อช่วงเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงออกมาพูดว่ามีกล้องวงจรปิดได้เห็น และมีพยานมาบอกเราว่าเห็นเหตุการณ์สุดท้ายพยานได้หายไปหมด ไมตรีที่เป็นพี่ชายที่ชัยภูมิอยู่ด้วยเป็นครอบครัวของชัยภูมิถูกคุกคาม เป็นเหตุที่ทำให้คดีนี้มีความซับซ้อนในการเข้าถึงความยุติธรรม ทำให้เกิดคำถามกับกลุ่มชาติพันธ์เรื่องความยุติธรรมเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ จะได้รับความยุติธรรมไหม  

อังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและเจ้าของรางวัลแมกไซไซปี พ.ศ.2562 (แฟ้มภาพ)

นอกจากนี้ข้อมูลหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นความจริงกลับไม่มีปรากฏ แต่มีคำให้การของคนที่นั่งรถมาพร้อมกับชัยภูมิ  ซึ่งหลังเกิดเหตุคนที่อยู่ในรถคันเดียวกันกับชัยภูมิถูกนำตัวไปที่หนึ่งไม่มีใครติดต่อกับเขาได้โดยส่วนไม่รู้ว่าเขาจะถูกข่มขู่หรือเปล่าแต่ศาลเชื่อคำให้การเขาว่ายาเสพติดเป็นของชัยภูมิ ศาลได้เชื่อคำให้การของบุคคลมากกว่าเรียกหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือเอาหลักฐานมาชั่งดู 

ในประเด็นการจะใช้การเยียวยาก็สามารถเยียวยาได้หลายแบบทั้งเยียวยาด้วยความยุติธรรมด้วยคำพิพากษาศาลการชดใช้ด้วยตัวเงิน ซึ่งตนเองคาดหวังว่าศาลพิจารณาเรื่องความสัดส่วนของอาวุธที่ใช้น่าจะมีการชดใช้เยียวยาความเสียหายให้แก่ครอบครัวบ้าง ซึ่งส่วนในวันนี้คาดหวังว่าศาลจะมีการชั่งน้ำหนักระหว่าง การได้สัดส่วนของการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ และอาจจะให้การเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นและรับฟังพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไม่ปรากฏของดีเอ็นเอและไม่ปรากฏภาพของกล้องวงจรปิดที่เจ้าหน้าที่ยอมรับว่ามีตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่มีการรับฟังพยานหลักฐานเหล่านี้เลยรู้สึกผิดหวัง

ในกรณีของชัยภูมิไม่ต่างจากกรณีของ อะเบ แซ่หมู่ ภาพการเสียชีวิตมีระเบิดมือที่มีลักษณะคล้ายกันข้างข้างและมียาเสพติดในมือเช่นกันในคดีนั้นมีการตัดสินให้เยียวยาค่าเสียหาย เราเคารพในความเป็นอิสระของศาลแต่ละท่าน แต่ในฐานะที่เป็นประชาชนสงสัยว่าในคดีลักษณะเดียวกันผลออกมาต่างกันได้อย่างไรโดยส่วนตัวไม่รู้จะอธิบายให้ที่ญาติหรือครอบครัวฟังได้อย่างไร  ในฐานะกรรมการสิทธินุษนชนแห่งชาติตนได้ขอดูบัญชีของชัยภูมิที่มีกล่าวอ้าวว่าชัยภูมิมีเงินในบัญชีธนาคารมาก ซึ่งบัญชีธนาคารครูจะเป็นคนเก็บไว้ปรากฏว่าครูเอาบัญชีของชัยภูมิมาให้ดูมีเงินไม่มากแทบจะไม่เหลือแต่ครูยังบอกว่าทุกวันหลังจากเรียนหนังสือและทำความสะอาดโรงเรียนแล้ว ชัยภูมิจะขายเมล็ดกาแฟโดยส่งให้กับผู้ซื้อ  ชัยภูมิทำงานนอกเวลาเพื่อที่จะส่งเสียให้ตัวเองได้เรียนหนังสือเรื่องแบบนี้ไม่มีปรากฏอยู่ในคำพิพากษา 

"กรณีวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิทั้งเป็นคนที่ไร้รัฐกรณีอย่างนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาหลายอย่าง แม่นาปอยซึ่งเป็นแม่ของชัยภูมิทำงานเพียงเพื่อให้มีข้าวสารกินเท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้จะชดใช้ชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้อย่างไรความยุติธรรมเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือไร้สัญชาติทุกคนย่อมเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียมกันดังนั้นส่วนตัวตนหวังว่าในคดีนี้ผู้พิพากษาจะกรุณารับรองให้มีการฎีกาจนถึงที่สุดซึ่งทนายความสิทธิมนุษยชนเรียกสำเนากล้องวงจรปิดมาประกอบ ศาลฎีกาอาจจะกลับมาทบทวนประเด็นนี้ใหม่ให้เอกสารวัตถุพยานเข้ามาเพิ่มเติมเป็นอีกความหวังหนึ่งของชาวชาติติพันธ์และคนไร้สัญชาติแม้จะไม่มีสัญชาติไทยแต่ยังมีสิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง" ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและเจ้าของรางวัลแมกไซไซปี พ.ศ.  2562 ระบุ

ครอบครัวชัยภูมิ ป่าแส เสียใจและผิดหวังกับผลคำพิพากษา พร้อมเตรียมเดินหน้ายื่นฎีกาต่อ ระบุที่ผ่านมาในระหว่างการเรียกร้องความยุติธรรมมีราคาที่ต้องจ่ายด้วยชีวิต ทั้งถูกข่มขู่ คุกคาม นำกระสุนปืนมาวางไว้หน้าบ้าน และจับกุมคุมขัง 

จากขวา ไมตรี จำเริญสุขสกุล ยุพิน ซาจ๊ะ และ นาหวะ จะอื่อ ครอบครัวผู้ดูแล ชัยภูมิ ป่าแส ที่ได้รับผลกระทบหลังลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชัยภูมิ

ขณะที่ไมตรีกล่าวว่า หากตนพูดแทนชัยภูมิได้ คงมีหลายอย่างที่ชัยภูมิอยากจะถามกลับไปว่าทำไมต้องยิงตน แล้วจากนี้ไปครอบครัวตนใครจะดูแลการเรียนของตนน้องชายของตน อนาคตของตนจบไปแบบนี้หรือเปล่า คงจะมีคำถามมากมาย แต่เราทำไมได้ แต่วันนี้ที่ทำได้ตนก็อยากพูดในมุมของตนเอง  ซึ่งโดยส่วนตัวเคารพการตัดสินของศาล แต่ก็เหมือนที่ทนายได้กล่าวมาก็มีหลายอย่างที่ตนก็มีคำถาม โดยเฉพาะเรื่องของกล้องวงจรปิดที่ตนคิดว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวของพวกตนแต่ทั้งสังคมไทยที่รับรู้เกี่ยวกับคดีนี้ก็่น่าจะอยากเห็นเพื่อให้เป็นบทพิสูจน์ให้เราเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเราก็อยากจะรับรู้ในเรื่องนี้ด้วย  ชีวิตของแม่ชัยภูมิก็ลำบากมากอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่น้องชัยภูมิยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ยังดีที่น้องชัยภูมิเป็นตัวหลักของครอบครัวมีการหารายได้เข้าบ้านได้ มีการหาข้าวสารเข้ามาบ้านมาในแต่ละเดือน แต่หลังจากที่ชัยภูมิจากไป แม่ลำบากต้องไปเก็บขยะขาย ไปรับจ้างเลี้ยงควายของชาวบ้านได้วันละ 20 บาทบ้าง บ้างครั้งก็ 50 บาท ทำแบบนี้ประทังชีวิตไป  เราได้รับผลกระทบความเป็นเพื่อนในชุมชนของเราก็หายไป เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องนี้นักข่าวก็เอาไปลงว่าญาติชัยภูมิเอี่ยวกับยานรก มันเป็นการตราหน้าเราเหมือนเราเป็นคนค้ายา ดังไปทั้งประเทศที่รับรู้เรื่องนี้ คนในพื้นที่ก็มองเราเป็นคนค้ายา หลังคดีออกมาว่าเราไม่เกี่ยวข้องเราก็ยังไม่ได้คำขอโทษจากเจ้าหน้าที่ใดๆ ซึ่งในชุมชนเขามองเราไปแล้วว่าเราเป็นคนค้ายา และมันยากมากที่จะให้เขากลับมาเชื่อเรา เป็นเพื่อนกับเราหรือเป็นมิตรกับเรา เราต้องอยู่แบบครอบครัวโดดๆหลังเดียวในท่ามกลางครอบครัวหลายหมู่บ้าน ตนมีลูกเล็ก หลายปีมานี้ลูกก็ไม่ได้เรียน ซึ่งตอนนั้นลูกก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนปรกติแต่พอเกิดเรื่องตนก็ต้องพาลูกและเมียไปหลบภัย เราก็อยู่กันแค่ 3-4 คน ชีวิตในเมืองหลายปี ก็สอนลูกที่บ้าน พอลูกกลับมาก็เข้ากับใครไม่ได้ 

ยุพินกล่าวว่า ถ้าถามถึงความรู้สึกของตนตอนนี้ตลอด 4 ปีกับ 11 เดือนที่เราต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับน้องชัยภูมิที่ถูกทหารฆ่าเพราะเรามีความหวังในกระบวนการยุติธรรมของศาล เรามีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าเราจะได้รับการเยียวยาจากรัฐ แต่มาวันนี้เมื่อศาลตัดสินออกมาแบบนั้นเราก็ต้องเคารพในการตัดสินของศาล แต่ถามว่าในฐานะที่เราเป็นผู้เรียกร้องเราก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากกับคำตัดสินที่เราได้รับในวันนี้ ก่อนหน้านี้คดีของอะเบ แซ่หมู่ ก็เป็นกรณีเดียวกันกับชัยภูมิแต่ได้รับการเยียวยาจากรัฐแต่ครอบครัวของน้องชัยภูมิไม่ได้ ซึ่งตอนที่ชัยภูมิยังมีชีวิตอยู่เขาก็ทำอะไรหลายอย่างเพื่อคนในสังคม เขาไม่ได้รับการขอโทษจากผู้กระทำความผิด คำขอโทษก็ไม่มีให้เราผิดหวังและเสียใจเป็นอย่างมากและรู้สึกแย่มากที่ได้ฟังคำตัดสินในครั้งนี้ ตั้งแต่ที่เราเริ่มต้นเรียกร้องความยุติธรรมให้กับน้องชัยภูมิในช่วงแรกก็มีการข่มขู่คุกคามเรามากมายทำให้เราเกิดความหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืนปริศนาที่มาวางไว้หน้าบ้านทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยและต้องอพยพออกจากหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีน้องสะใภ้นาหวะ จะอื่อ ที่โดนจับโดยเจ้าหน้าทีอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาซึ่งเป็นคดีเกี่ยวเนื่องกับชัยภูมิ และถูกจับกุมไปแต่สุดท้ายศาลก็ยกฟ้องให้น้องสะใภ้เราไม่มีความผิดแต่นาหวะก็ต้องสูญเสียอิสระภาพในคุกอยู่กว่า 1 ปี 

ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากองค์กรด้วยใจรักซึ่งเป็นผู้ดูแลน้องชัยภูมิ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เราต้องอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อที่จะไปตามหาความยุติธรรมให้กับนาหวะและชัยภูมิไปพร้อมๆกัน ทำให้เรามีความยากลำบากมาในการใช้ชีวิต และช่วงที่เราอยู่ในเมืองเราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่หรือหัวหน้าของกระทรวงยุติธรรมเขาพูดกับเราคำหนึ่งว่า ความยุติธรรมมันมีค่าจ้างของมันที่ต้องจ่าย แล้วกระทรวงยุติธรรมเขาทำมาเพื่อสิ่งนี้เพื่อที่จะช่วยเหลือคนที่จะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งวันนั้นขอบคุณกองทุนยุติธรรม ค่าจ้างของความยุติธรรมที่เราจ่ายไปนั้นมันมากมายเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่เงินทองแต่เราสูญเสียเสรีภาพของความเป็นมนุษย์เราสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เราสูญเสียความเป็นสถาบันครอบครัว สูญเสียรอยยิ้มความสุขการเรียนของลูกไปทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้ที่เราจ่ายไปมันมากมาย แม้กระทั่งเพื่อนในบ้านก็ไม่มี ชื่อเสียงก็ถูกทำลาย มันทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมากับสิ่งที่เราได้รับ  ตั้งแต่ที่เรากลับมาในหมู่บ้านนี้เราต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง เหมือนกับเราไม่มีเพื่อนและสถานะครอบครัวการงานทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่เราต้องดิ้นรนเพื่อที่จะให้ลูกได้มีการศึกษาเพื่อที่จะให้ ค่าใช้จ่ายในบ้านเราต้องเริ่มต้นใหม่ มันไม่มีอะไรเหลือให้เรา เราก็ต้องสู้ต่อไป เราต้องอยู่ในบ้านที่ต้องเริ่มจากศูนย์ใหม่เราต้องสอนลูกด้วยตนเอง ฟื้นฟูจิตใจให้กับลูก

ครอบครัวชัยภูมิเข้าร่วมเวทีเสวนาออนไลน์

นาหวะกล่าวว่า วันที่เขายิงชัยภูมินั้นเราเสียใจมาก และระหว่างที่เสียใจนั้นก็ต้องกลับมาเป็นคนที่โดนคดีด้วยก็ยิ่งเสียใจเข้าไปอีก ตอนอยูู่ในเรือนจำก็คิดถึงครอบครัวมากลูกตนเองก็ไม่ได้เรียน  ในหัวก็วนเยียนแค่คำถามเดิมว่าทำไมเรื่องต้องเป็นแบบนี้ ทำไมชัยภูมิต้องเสียชีวิต ทำไมเราถูกจับ ทำไมเราต้องไม่ได้เจอหน้าครอบครัว มีหลายคนบอกให้ยอมรับไปเถอะจะได้ออกมาจากคุกไวๆ แต่ตนไม่ได้เป็นคนทำไม่ได้เป็นคนค้ายาจะไปยอมรับได้อย่างไร แล้วก็ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด แล้ววันนั้นมาถึงศาลก็ได้ยกฟ้องเราไม่มีความผิดและเราก็คาดหวังเงินเยียวยาจากการยกฟ้องในครั้งนั้น แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินเยียวยา 

นาปอย แม่ของชัยภูมิ

ขณะที่นาปอย แม่ของชัยภูมิกล่าวเพียงสั้นๆ พร้อมกับร้องไห้ว่า รู้สึกเสียใจมาก ทางบ้านก็ขาดลูกไปก็ลำบากมาหลายปี ขาดแคลนการกินอาหาร 4 ปีที่ผ่านมาก็อยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากชัยภูมิเป็นเสาหลักของครอบครัว และจะสู้ต่อจนสุดขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมคือการยื่นฎีกา แม้ว่ากล้องวงจรปิดจะหายไปแต่ความยุติธรรมอย่าหายไปเลย 

กลุ่มดินสอสีระบุการเสียชีวิตของชัยภูมิ เป็นการสูญเสียโอกาสต่างๆ ของเด็กเด็กในชาติพันธ์ เหตุไม่ได้ตายไปเฉพาะคนเดียว แต่มีเด็กอีกหลายคนที่ต้องสูญเสียโอกาสจากการเสียชีวิตของชัยภูมิ ย้ำควรให้ความยุติธรรมด้วยการเยียวยาครอบครัว

วรพจน์ กล่าวว่า หลังจากฟังครอบครัวพูดอยากแสดงความคารวะต่อไมตรีและครอบครัวของชัยภูมิแม่นาปอยยุพินและนาหวะ จิตใจของคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอยู่ด้วยความยากลำบากแต่ยังยืนหยัดอยู่กลับมาและพยายามเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายการที่ผู้คนจะมีจิตใจอย่างนี้ได้ถ้าไม่รักก็คงจะไม่ใช่อย่างอื่น เป็นความรู้สึกจริงๆว่าคนที่ยืนหยัดต่อสู้จนถึงทุกวันนี้เราจะต้องช่วยกันดูแลเป็นกำลังใจหาต้นเหตุของปัญหาเพื่อที่จะได้แก้ไขกรณีเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก โดยที่ไม่มีใครเหลียวแลจากรัฐที่ควรจะเป็นพูดต้องรับผิดชอบจากเหตุนี้ด้วย

สำหรับน้องชัยภูมิตนรู้จักเมื่อ 11-12 ปีที่แล้วชัยภูมิมาพร้อมกับไมตรีที่กรุงเทพมหานครในโครงการคลองเตยนี้ดีจัง ตั้งแต่ยังตัวเล็กเล็กชัยภูมิมีความสามารถที่โดดเด่นจากคนอื่นเป็นคนเล่นดนตรีเป็นร้องเพลงเพราะแต่งเพลงได้ตั้งแต่ตอนนั้นมีบุคลิกเรียกได้ว่าเป็นผู้นำสามารถเป็นพิธีกรได้พูดกับผู้ชมได้ทั้งทั้งที่เป็นคนที่มาจากบนดอยมีความมั่นใจพอสมควร มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจ เล่าเรื่องแลกเปลี่ยนกับเพื่อนเพื่อนมีความตั้งใจอยากจะทำอะไรให้กับชุมชนของตนเองบ้านเกิดของตัวเองน้องชาวชนเผ่าหรือชนเผ่าอื่นๆเองมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งทั้งที่ตัวเองยังมีปัญหาเป็นคนต่างด้าวไม่มีสัญชาติเห็นถึงจิตใจที่มุ่งมั่นอาจจะส่งต่อมาจากไมตรีเอง ที่อยากจะแก้ปัญหาให้คนในชุมชนในชนเผ่าในขอบเขตและทั่วประเทศด้วย
 

วรพจน์ โอสถาพิรัตน์ กลุ่มดินสอสี

เมื่อเจอกันมีโอกาสได้ขึ้นไปเยี่ยมเยียนที่บ้านที่เชียงดาวอยู่ใกล้ชายแดนพม่ามากๆชัยภูมิ เป็นแกนนำในการทำกิจกรรมเพื่อเด็กและเยาวชนในหมู่บ้านกองผักปิ้งมีการเอาศิลปะการแสดงเพลงพื้นบ้าน เต้นแจโก ตีกลองแจโก เพลงพิ้นบ้านปีใหม่ของชาวลาหู่ ให้เด็กในหมู่บ้านสามารถเชื่อมโยง กับเด็กและเยาวชนในหมู่บ้าน หากไม่มีกิจกรรมทำอาจจะทำให้เด็กเด็กไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้องได้ ในบริเวณนั้นเกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยปัญหายาเสพติดการที่ชัยภูมิทำด้วยวิธีง่ายง่ายนำกลองที่มีอยู่แล้วในหมู่บ้านมาเต้น นาหวะช่วยสอน ทุกคนสามารถทำประโยชน์ให้กับหมู่บ้านกองผักปิ้งได้มากมาย เมื่อชัยภูมิถูกวิสามัญฆาตกรรมและความยุติธรรมยังไม่มาความยุติธรรมที่หายไปไม่ได้ กลับมาเริ่มที่ศูนย์แต่มันหายไปจากศูนย์ แต่เป็นการหายไปจาก 100 พูดง่ายง่ายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนั้นกำลังเป็นไปได้สวย ตัวชี้วัดผลสำเร็จต่างๆในชีวิตจริงที่เกิดประโยชน์ทำให้เห็นเลยว่าผลกระทบที่ชัยภูมิต้องได้ไปคือได้สูญเสียเด็กคนหนึ่งที่มีความฝันและความตั้งใจมีความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนเพื่อนต่อพี่น้องต่อชุมชนต่อโลกใบนี้ไปจากกระสุนเพียงนัดเดียวโดยไม่มีใครรับผิดชอบต่อการสูญเสีย 

มันเป็นการสูญเสียโอกาสต่างๆของเด็กเด็กในชาติพันธ์ด้วยชัยภูมิเองเป็นคนไร้สัญชาติเวลามาร่วมกิจกรรมที่กรุงเทพยังต้องไปทำเรื่องที่อำเภอการมีรถก็เป็นเรื่องจำเป็นการไปจากอำเภอถึงหมู่บ้านห่างกัน 50 หรือ 60 กิโลไม่ได้เป็นทางที่จะเข้าไปง่ายง่าย ชัยภูมิเองเป็นหนึ่งในคนที่พยายามจะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องทำให้คนไร้สัญชาติได้มีสถานะเป็นพลเมืองซึ่งเค้าจะทำไม่เฉพาะคนลาหู่แต่เค้าไปเข้าร่วมกับสมัชชาชนเผ่าพื้นเมืองสมัชชาเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการได้สัญชาตินั้นด้วย 

การตายของชัยภูมิไม่ได้ตายไปเฉพาะคนเดียว เด็กคนที่ร่วมกลุ่มกับชัยภูมิอีกหลาย 10 คน 20 คนเดิมที่อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เรียกว่าอาจจะไม่มีอนาคตเท่าไหร่นักหรือไม่สนใจว่าตนเองจะเป็นอย่างไรหรือจะหลุดรอดเข้าไปในวงจรที่ไม่ควรจะเข้าไปในเรื่องยาเสพติดคนที่อยู่กับชัยภูมิสักครึ่งนึงมีโอกาสที่จะเติบโตไปแบบที่ชัยภูมิฝันหรือคาดหวังว่าจะไปเป็นคนที่มีคุณค่าเรียนหนังสือได้ดีมีอาชีพช่วยเหลือพ่อแม่ได้ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาช่วยกันพัฒนาชุมชนจาก 10 คนจะต่อไปอีกที่ 10 คนไปเรื่อยเรื่อยการเสียเด็กคนหนึ่งที่มีความตั้งใจต่อสังคมต่อบ้านเมืองไป ไม่ได้อยู่ที่คนคนเดียวแต่มันหมายถึงอีก 10 คน 20 คน 100 คนที่เกิดมาจากความตั้งใจและความหวังดีความมุ่งมั่นของชัยภูมิ 

น่าเสียดายที่ชัยภูมิเองมีความสามารถอื่นๆที่น่าสนใจอีกเยอะเช่นเล่นดนตรีเป็นแต่งเพลงได้ที่ทุกคนรู้กันสนใจเรื่องการทำหนังการถ่ายภาพพยนต์เข้าเวิร์คช็อปที่มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดนเป็นคนจัดเรียนรู้เรื่องตีเสลทการควบคุมกล้อง ร่วมกับกลุ่มพื้นที่บิลลี่จากบางกลอย เราจะเห็นได้เลยว่าการสูญเสียของชัยภูมิไม่ได้เป็นแค่การสูญเสียคุณค่าและความตั้งใจของเด็กและเยาวชนอีกมากมายที่อยู่ชายขอบที่เป็นชนพื้นเมืองที่ถูกทัศนคติมาจากศูนย์กลางอำนาจรัฐเบียดบังเขาออกไป ไม่สนใจแล้วไม่ฟูมฝักเขาอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อมีคนที่ลุกขึ้นเพื่อเรียกร้องในเรื่องนี้ ทำไมยิงเค้าตายทำให้เกิดความจริงเท็จอย่างไรกันแน่เป็นเรื่องน่าเศร้า เราจะต้องมาต่อสู้กันต่อไป 

รัฐมีหน้าที่ที่จะดูแลเยียวยาคนชายขอบคนด้อยโอกาสให้เกิดความเป็นธรรมจึงจะสร้างความยุติธรรมขึ้นมาได้ ถ้ารัฐอำนาจเป็นตัวตั้งทำให้เกิดความยุติธรรมและไม่เยียวยาคนอย่างชัยภูมิเป็นเด็กก็ลำบาก ไมตรีไปเจอชัยภูมิขณะไปรับจ้างรายวันกว่าเด็กคนหนึ่งจะผ่านชีวิตอย่างนั้นมาได้ มาถึงจุดที่จะอยากเปลี่ยนแปลงหรือช่วยเหลือคนอื่นมันจะทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นเหมือนกับว่าเรามีทะเล เด็กเด็กและชัยภูมิจมน้ำทะเลอยู่และชัยภูมิก็โผล่ขึ้นมายืนอยู่บนตลิ่งเพื่อที่จะปกป้องคนอื่นอื่นแทนที่จะช่วยเหลือเขาเยียวยาเขาจากคนที่อยู่ในทะเลนั้นกับผลักเขาตกน้ำกลับลงไปอีกลงไปพร้อมกับเด็กเด็กเหล่านั้น ซึ่งก่อนที่จะให้การเยียวยาควรจะให้ความเป็นธรรมและความเป็นจริงกับเขาก่อนกลายเป็นว่าผลักเค้าตกน้ำทะเลให้กลับไปอยู่ในจุดนั้นอีก โครงสร้างมีอำนาจทำให้คนในอำนาจถือปืน ได้ คนที่อยู่ด่านตรวจสลับเวียนกันไม่มีความสัมพันธ์โยงกับคนที่ชาวบ้านเยอะเด็กและเยาวชนที่อยู่แถวนั้นเลยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกันมาจากการส่งทอดต่ออำนาจกันถ้าเห็นคุณค่าต้องให้ความยุติธรรม ถ้าจะให้ความยุติธรรมก็ต้องเยียวยา 

ตัวแทนจาก กลุ่มดินสอสี กล่าวด้วยว่า เราจะต้องมีกลไกยุติธรรมเพื่อตรงนี้เรายังขาดกลไกยุติธรรมเพื่อตรงนี้ที่จะทำให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ของคนคนธรรมดาที่มีความหวังตั้งใจดี และสังคมควรจะได้ตระหนักในประเด็นนี้และสิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นควรได้รับความยุติธรรมและการเยียวยา ในการต่อสู้ทางกฎหมายและการต่อสู้ทางสังคมต้องช่วยกันทำต่อไปยืนหยัดพร้อมพร้อมกับทุกคนและครอบครัว สิ่งที่เกิดขึ้นมาห้าปีได้สร้างบทสนทนาในสังคมได้ไม่น้อยในคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเดียวกันกับชัยภูมิในหมู่บ้านอาจจะซับซ้อนยากลำบากพอสมควรในการต่อเนื่องสิ่งที่ทำได้ เรากำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้ สมกับคุณค่าที่มันมีอยู่ คนที่เข้มแข็งที่สุดคือแม่นาปอยเราจะเห็นความแกร่งของแม่เมื่อมาเจอกันที่เชียงใหม่หรือกรุงเทพชัยภูมิผมจะได้เรื่องนี้จากแม่นาปอยด้วยแม่นาปอยเคยพูดไว้ว่าลูกชายฉันตายไปแล้วคำพิพากษาทำให้ลูกชายฉันตายซ้ำสองอีก เป็นมุมมองจากผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกชายถูกฆ่าตายไปและความจริงยังไม่ปรากฏอยากจะฝากคำถามความรู้สึกของแม่นาปอยไปถึงใครก็ได้ที่เกี่ยวข้องให้เห็นถึงหัวใจของแม่คนหนึ่งและส่วนตัวอยากจะบอกแม่ว่าแม่มีลูก ลูกเยอะขึ้นที่เดินตามความฝันของชัยภูมิมา 

Protection International ระบุการวิสามัญฆาตกรรมเป็นการตัดตอนสิทธิในการใช้กระบวนการยุติธรรม หวังให้กระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลรับผิดชอบและให้หลักประกันกับชีวิตประชาชน ระบุยูเอ็นตั้งผู้แทนพิเศษเรื่องการสังหารนอกระบบ กระบวนการยุติธรรมอย่างรวบรัดและพลการซึ่งไทยอยู่ในกลไกกฏหมายระหว่างประเทศนี้ แต่ได้นำกลับมาใช้ในประเทศด้วยหรือเปล่า

ปรานม จากองค์กร Protection international กล่าวว่า เกือบจะ 5 ปีแล้วในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชัยภูมิ ป่าแส เราจะเห็นว่ามันยากที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะชวนคนธรรมดาสามัญโดยเฉพาะพี่น้องชาติพันธุ์จะลุกขึ้นมาใช้กระบวนการยุติธรรมเรียกร้องความเป็นธรรมในโครงสร้างในระบบที่หลายคนพูดว่าไม่เห็นหัวประชาชนเลย กรณีของคดีชัยภูมินอกจากครอบครัวจะเป็นโจทก์ในการเรียกค่าเสียหายกับกองทัพบก คุณนาหวะเองอยู่ดีๆก็มีเจ้าหน้าที่จากปปส.และเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานมากมาจับยาเสพติด ทั้ง ๆ ที่วันนั้นข้อเท็จจริงที่เราทราบคือไม่ได้เจอยาเสพติดที่บ้านเลย นาหวะก็ต้องติดคุกไปประมาณ 1 ปีและศาลชั้นต้นได้ตัดสินยกฟ้องคุณนาหวะได้เรียกร้องขอค่าชดเชยเยียวยาจากกองทุนจำเลยในคดีอาญา ถ้าเราถูกกล่าวหาโดยกระบวนการการยุติธรรมและพ้นผิดในคดีอาญาเราจะเป็นแพะในคดีอาญา ดังนั้นเราควรจะได้ค่าชดเชยเยียวยาก แต่กรณีนาหวะไม่ได้ ก็คือไม่เชื่อหมด ทั้งๆที่อัยการเจ้าของคดีไม่อุทธรณ์ต่อ คุณนาหวะพยายามจะขอค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา แต่ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆกรณีของชัยภูมิเราทุกคนเคารพในกระบวนการยุติธรรมและด้วยความเคารพเราจึงต้องมาให้ความเห็นด้วยความสุจริตใจ เราคาดหวังให้กระบวนการยุติธรรมควรจะเป็นเสาหลักให้กับประชาชน จะต้องคานการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม จากรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เรากำลังพูดถึงการวิสามัญฆาตกรรมการสังหารที่เกิดขึ้นเป็นการตัดตอนสิทธิในการใช้กระบวนการยุติธรรม ถ้ามองเรื่องนี้ในแง่มุมของสิทธิมนุษยชนและแง่มุมของสิทธิในการใช้ชีวิต ในการสังหารโดยพลการควรจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย การพิจารณาโดยสัดส่วนของการใช้อาวุธที่บอกว่ากระสุนเพียงนัดเดียว แต่นัดเดียวก็จริงแต่ผลของการใช้อาวุธสงครามก็คือการตายของประชาชนคนคนหนึ่งที่เป็นเยาวชนด้วย ดังนั้นสัดส่วนอะไรที่เรากำลังมานั่งพิจารณาอันนี้ก็อาจะเป็นความเห็นอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องดูว่า การใช้กระสุนอาวุธสงครามที่มาจากภาษีของประชาชนพวกเราทุกคนนั้นเพียงแต่นัดเดียวผลของการใช้กระสุนหนึ่งนัดอันนั้นมันทำให้เกิดการเสียชีวิต ดังนั้นเราพูดถึงสิทธิในการมีชีวิตซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญที่สุด มีไว้ตั้งแต่ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนสากล 2491  32 ปีที่ผ่านมาในระดับโลกในสหประชาชาติมีการตั้งผู้แทนพิเศษเรื่องการสังหารนอกระบบ กระบวนการยุติธรรมอย่างรวบรัดและพลการซึ่งประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศก็อยู่ในกลไกกฎหมายระหว่างประเทศสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ กลับมามองการปฏิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศว่าเราได้ใช้หรือได้ปฏิบัติได้จริงในการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตเหล่านี้หรือเปล่า 

ปรานม สมวงศ์ จาก Protection International (แฟ้มภาพ)

ที่ผ่านมาการยกเว้นโทษเมื่อเจ้าหน้าที่กระทำผิดที่ผ่านมามีการเยียวยาทางการเงินบ้าง ซึ่งเรามองว่ามันเป็นการเยียวยาเพียงน้อยนิด อย่างกรณีของคุณอะเบ แซ่หมู่  ได้รับการเยียวยาเราก็มองว่าที่รัฐทำได้ง่ายที่สุดในขั้นตอนของการเยียวยาแล้ว แต่ในกรณีของชัยภูมิกลายเป็นว่าไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆเลย ทั้งที่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่ามันเกิดจากการกระทำโดยตรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นความคาดหวังของเราก็อยากจะให้รัฐมีการแสดงความรับผิดชอบและใช้กฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ การตายโดยรัฐที่ไม่อาจปฏิเสธการเยียวยา ต้องย้ำกันอีกรอบว่าการวิสามัญฆาตกรรมเป็นความรุนแรงของรัฐในอีกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดและมันมีความน่ากลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นที่มากกว่ากรณีของชัยภูมิ   การฆ่าผู้ต้องสงสัยในระหว่างการเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การทำร้ายหรือการหายตัวไปของบุคคลที่มีจุดยืนตรงข้ามกับอำนาจรัฐหรือตัวอย่างอื่นๆทั่วไป แต่เรามองว่าเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนี้เราต้องให้ความสำคัญที่เกิดจากรัฐกับประชาชนคนธรรมดาสามัญทุกๆวันที่เราเจอ เราทุกคนต้องทำความเข้าใจกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เพื่อที่จะร่วมกันหาทางป้องกันและเพื่อที่จะเรียกร้องให้กลไกในการคุ้มครองต่างๆ จะได้ทำหน้าที่ของตนเอง เราก็ไม่อยากจะอยู่ในประเทศที่อาชญากรยังคงลอยนวล มันต้องมีกลไกหรือระบบใดๆที่จะเอามาใช้ได้ ที่จะเอาไปจัดการไปสร้างความสมดุลหรือเยียวยาประชาชนที่ได้รับความรุนแรงได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของคนเหล่านั้น โดยเฉพาะผลกระทบของความรุนแรงที่เราจำเป็นจะต้องคุ้มครองเป็นพิเศษ ประชาชนคนธรรรมดาที่ไม่อำนาจไม่มีพื้นที่ หรือไม่ได้ได้มีคอนเนคชั่นใดๆที่เกิดขึ้นมันจำเป็นมาก  

ตัวแทนจาองค์กร Protection international กล่าวอีกว่า เราจะต้องดูว่ากลไกต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ มันพร้อมที่จะขจัดความรุนแรงที่เกิดขึ้นหรือพร้อมที่จะยิ่งใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น จะใช้ความรุนแรงโดยเปิดเผย หรือว่าซ่อนเร้นสิ่งเหล่านี้จะต้องมานั่งดูกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่ผ่านมาการวิสามัญฆาตกรรมในสังคมไทยถ้าเราดูมันจะเกี่ยวข้องอย่างมากกับทิศทางหรือนโยบายของรัฐที่เกิดขึ้น และจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับการจัดการของรัฐในพื้นที่ด้วย ถ้าใครมีโอกาสอยากให้ลองอ่านรายละเอียดของคำพิพากษาว่ามีประเด็นเหล่านี้หรือเปล่าที่พูดถึง สิ่งที่เกิดขึ้นกับย้อนแย้งกับความต้องการของหลายๆฝ่ายในปัจจุบัน มีความพยายามในการที่จะสร้างอำนาจรัฐให้คุ้มครองสิทธิของประชาชนได้ เรามีการตั้งกลไกเยอะแยะมากมาย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ศาล อัยการ สภาทนายความ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กองทุนยุติธรรม คำถามคือกลไกเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ของตนเองแค่ไหน โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ประชาชนได้รับความรุนแรงที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำหน้าที่คุ้มครองหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่ประชาชนก็จะใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดหวั่นในระบบของกฎหมายที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิของประชาชนหรือเปล่า แล้วเราไม่รู้เลยว่าอำนาจที่แท้จริงเหล่านี้เป็นอำนาจที่เราจะต้องไปพึ่งพา หรือมีอำนาจใดๆที่เราไม่สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ในเวลาที่ความรุนแรงเกิดขึ้น เรายังคงคาดหวังให้กระบวนการยุติธรรมและรัฐบาลเองมีความรับผิดชอบและให้หลักประกันกับชีวิตประชาชนโดยที่เราจะต้อง เป็นบทพิสูจน์ของขบวนการยุติธรรมว่าประชาชนจะสามารถคาดหวังได้หรือไม่ว่ายังมีความยุติธรรม 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net