Skip to main content
sharethis

กรณีดำเนินคดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ชวนมองว่าข้อกล่าวหาต่อทรัมป์สะท้อนปัญหาระบบการเมืองของสหรัฐฯ เอง โดยทรัมป์ไม่ได้แค่เป็นภัยต่อพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น แต่ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยด้วย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีต ปธน.สหรัฐฯ (ที่มา: เว็บไซต์ โดนัลด์ ทรัมป์)

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ มีสื่อหลายสำนักที่ให้ความสนใจในเรื่องกรณีการดำเนินคดี 34 ข้อหา ต่ออดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ในแง่หนึ่งมันก็ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเผชิญกับการดำเนินคดีอาญา หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีการดำเนินคดีต่อ (อดีต)ผู้นำประเทศเกิดขึ้นในที่อื่นๆ และในบางกรณีผู้นำเหล่านี้ก็ถูกลงโทษจำคุก เช่นที่ เกาหลีใต้, เปรู, มาเลเซีย และ บราซิล

ในข้อกล่าวหาต่อทรัมป์ ทั้ง 34 ข้อหาที่เป็นความผิดอาญาร้ายแรง มีทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการโกงภาษีและโกงบัญชี ข้อกล่าวหาเรื่องที่ทรัมป์เคยใช้วิธีจ้างสื่อให้ปิดปากด้วยวิธีการที่เรียกว่า "Catch and Kill" ที่หมายถึงการให้สื่อหัวสีซื้อสิทธิในการตีพิมพ์เผยแพร่แบบเอ็กซ์คลูซีฟเจ้าเดียว ต่อเนื้อหาที่ส่งผลเสียต่อผู้จ้างวาน แล้วให้สื่อที่ได้สิทธิในการตีพิมพ์อยู่เจ้าเดียวนั้นงดการเผยแพร่เพื่อ "ดับ" (kill) เรื่องนั้นให้เงียบ ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ กระทำเช่นนี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2559

หนึ่งในการพยายามผิดปากสื่อของทรัมป์ ที่สื่อตะวันตกมักจะนำเสนอในช่วงหลังๆ นี้คือ กรณีที่ทรัมป์จ่ายเงินปิดปากดาราหนังโป๊ สตอร์มมี แดเนียลส์ เพื่อให้เงียบเสียงเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของทรัมป์

จอห์น เฟฟเฟอร์ บก.สื่อวิเคราะห์สถานการณ์ต่างประเทศ Foreign Policy In Focus ระบุว่า การที่สื่อเน้นนำเสนอในกรณี สตอร์มมี แดเนียลส์ นี้่ ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมโนสาเร่ แต่การเน้นย้ำเรื่องในทางโลกเช่นนี้จะกลายเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อทรัมป์ได้มากขึ้น มันจะกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในแง่ที่ว่า ทรัมป์ และผู้ร่วมงานกับเขาจะถูกทำให้ต้องรับผิดชอบต่อการใช้เงินปิดปากทั้งดาราหนังโป๊และบุคคลอื่นๆ ให้เงียบเสียง นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องการใช้เงินหาเสียงในทางที่ผิดด้วย

อัยการแขวงแมนฮัตตัน ระบุว่า เรื่องที่ทรัมป์กระทำกับเป็นอาชญากรรม จากการที่กลุ่มหาเสียงของทรัมป์พยายามอ้างว่าค่าใช้จ่ายในการปิดปากเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายเพื่อการรณรงค์หาเสียง มีคำถามว่าการอ้างเช่นนี้จะยิ่งทำให้ระดับของโทษอาญาเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากการที่มันฝ่าฝืนกฎหมายการเงินการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไปว่าการดำเนินคดีจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งอาจจะต้องรอไปจนถึงปลายปีนี้เพราะการรับฟังคำให้การแบบตัวต่อตัวนั้นจะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 4 ธ.ค.

ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นได้ว่าทรัมป์ อาจจะเผชิญกับข้อหาอื่นๆ ในรัฐอื่นด้วย เช่น รัฐจอร์เจีย อาจจะดำเนินคดีต่อทรัมป์ในเรื่องที่เขาพยายามจะชักจูงให้เจ้าหน้าที่ในจอร์เจียล้มผลการเลือกตั้งในปี 2563

กลุ่มหนุนทรัมป์บุกทำเนียบขาว ขวางการลงมติของสภาคองเกรสรับรองโจ ไบเดน เป็น ปธน. เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 64 (ที่มา: Wikipedia/Tyler Merbler)

นอกจากนี้ยังมีคดีอื่นๆ ที่ทรัมป์เผชิญในระดับประเทศของสหรัฐฯ เช่น คดีที่ทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าให้ความช่วยเหลือม็อบบุกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 โดยมีการทำลายข้าวของในนั้น, ข้อหาพยายามขัดขวางการประชุมสภาในวันที่ 6 ม.ค., ข้อหาสมรู้ร่วมคิดให้มีการคดโกงประเทศสหรัฐฯ, นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทรัมป์ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมโดยการโกหกว่าไม่ได้ครอบครองเอกสารลับของรัฐบาล ทั้งที่จริงๆ แล้วมีเอกสารลับของรัฐบาลในครอบครองแม้จะหมดวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายของสหรัฐฯ

มีอัยการพิเศษที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนในคดีของทรัมป์รวมถึงสืบสวนในเรื่องที่ว่าทรัมป์ได้ทำการฉ้อโกงผ่านการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์และการฟอกเงิน ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวกับกรณีที่ทรัมป์พยายามระดมทุนหลังการเลือกตั้งปี 2563 จบลงแล้ว อ้างว่าเพื่อที่จะสาธิตให้เห็นว่ามีการโกงการเลือกตั้งในครั้งนั้นซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง

เฟฟเฟอร์ระบุว่า สำหรับนักการเมืองที่โกหก, หลอกลวง และข่มเหงรังแกคนอื่นจนเข้าสู่อำนาจได้นัน มันน่าจะเหมาะสมถ้าหากว่าทรัมป์จะจบชีวิตการเมืองของตัวเองด้วยการต้องโทษจำคุกจากสิ่งเลวร้ายที่เขาทำ มันยังจะกลายเป็นเรื่องกรรมตามสนองด้วยเพราะกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ได้ส่งทรัมป์เข้าสู่ตำแหน่งได้ด้วยการกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี  ฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนฝ่ายตรงข้ามในการเลือกตั้งปี 2559 ว่าทำผิดกฎหมาย มีการใช้คำขวัญบอกให้ "คุมขังเธอไว้" ในขบวนหาเสียงของปีนั้น

ถึงแม้ว่าจะมีการสืบสวนสอบสวนทรัมป์อย่างจริงจัง แต่ เฟฟเฟอร์ก็มองว่า อาชีพทางการเมืองของทรัมป์จะยังคงไม่จบลงง่ายๆ

ทรัมป์ยังคงเป็นตัวเก็งระดับต้นๆ ในการได้รับเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2567 ในสังกัดพรรครีพับลิกัน ในการสำรวจเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์มีคะแนนมากกว่า รอน เดอซานติส

คู่แข่งระดับต้นๆ ของเขาในฐานะตัวแทนพรรครีพับลิกัน อยู่ที่ 8 คะแนน แต่หลังจากที่ทรัมป์ถูกดำเนินคดีที่นิวยอร์ก ทรัมป์ก็มีคะแนนนำสูงขึ้นเป็นมากกว่าเดอซานติส 25 คะแนน

กลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อพรรครีพับลิกันร้อยละ 79 มองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการของทรัมป์ที่ชื่อว่า MAGA ที่ย่อมาจาก "Make America Great Again" (ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง) จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลใจที่คนพรรครีพับลิกันจำนวนมากที่ต่อต้านทรัมป์ลาออกจากพรรคไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพรรครีพับลิกันกำลังประสบปัญหาแต่อย่างใด มีผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่า 1 ล้านรายที่เปลี่ยนมาเลือกพรรครีพับลิกันในช่วงเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ซึ่งทำให้พรรครีพับลืกันสามารถยึดครองสภาล่างของสหรัฐฯ ได้ แม้กระนั้นเองมันก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มผู้แทนที่ได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์ชนะไปด้วย มีจำนวนมากที่แพ้ในการเลือกตั้งกลางเทอม

ทั้งนี้จากผลโพลล่าสุดของ YouGov เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมายังแสดงให้เห็นว่าทรัมป์มีคะแนนนิยมนำไบเดนอยู่เล็กน้อย กระนั้นมันก็ยังเร็วไปที่จะตัดสินว่าทรัมป์จะลอยลำในการเลือกตั้งครั้งถัดไปเพราะการสืบสวนสอบสวนที่มีขึ้นในตอนนี้อาจจะทำให้ทรัมป์ถูกตัดสิทธิ์ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือแม้กระทั่งทำให้เขาถูกส่งเข้าคุก

เรื่องนี้สะท้อนปัญหาอะไร เกี่ยวกับประชาธิปไตยของสหรัฐฯ

เฟฟเฟอร์ ระบุว่าสหรัฐฯ เคยแสดงความภาคภูมิใจที่ตัวเองมีประชาธิปไตยที่เสถียรด้วยการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม แต่ในตอนนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าระบอบประชาธิปไตยในแบบของสหรัฐฯ นั้นมันมีข้อบกพร่องอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงสิทธิในการโหวตได้จำกัด อิทธิพลทางการเงินที่ส่งผลอย่างมาก หรือแม้กระทั่งสถาบันแบบคณะผู้เลือกตั้งที่เป็นปัญหา

แน่นอนว่าการลงโทษเอาผิดนักการเมืองในแต่ละประเทศนั้น เกิดขึ้นจากบริบททางการเมืองที่ต่างกัน เช่น ในการคุมขังผู้นำฝ่ายซ้าย ลูอิซ อิกนาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา เกิดขึ้นจากการเล่นงานทางการเมือง ซึ่งต่อมาศาลสูงสุดของบราซิลก็มีคำสั่งให้ยกเลิกคำตัดสินลงโทษ ลูลา จนกระทั่งเขาสามารถเอาชนะการเลือกตั้งในปี 2565 ได้ อีกกรณีหนึ่งคือ พักกึนเฮ อดีตผู้นำเกาหลีใต้ที่ถูกคุมขังในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเฟฟเฟอร์มองว่ามีกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นกลางมากกว่า

ฝ่ายทรัมป์และผู้สนับสนุนก็อ้างว่าการดำเนินคดีต่อพวกเขาเป็นการเล่นงานที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งถึงแม้ว่าทรัมป์จะอ้างเช่นนี้ แต่เฟฟเฟอร์ก็มองว่า คำว่า "แรงจูงใจทางการเมือง" นั้นอาจจะจริงในแง่ที่ว่าเป็นแรงจูงใจที่จะทวงประชาธิปไตยให้กลับคืนมา สถาบันประชาธิปไตยกำลังโต้ตอบกลับการที่ทรัมป์กระทำความผิดบาปต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตหรือการลุแก่อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือกระทั่งเรื่องที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการพยายามล้มล้างระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ในกรณีม็อบบุกรัฐสภาพยายามล้มผลการเลือกตั้งปี 2563

ในอีกแง่หนึ่งก็คือทรัมป์ไม่ได้เป็นภัยต่อพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง แบบที่ฝ่ายเดโมแครตจำนวนมากและฝ่ายรีพับลืกันอีกจำนวนหนึ่งมักจะอ้างกันเท่านั้น แต่ทรัมป์ยังเป็นภัยต่อระบบการเมืองทั้งหมด เฟฟเฟอร์เสนอว่าถ้าสหรัฐฯ ยังห่วงเรื่องภาพลักษณ์ประชาธิปไตยอยู่บ้าง ก็ควรจะโต้ตอบภัยจากทรัมป์ด้วยการทำให้ทรัมป์ไม่สามารถเข้ามาเล่นการเมืองได้อีก และทำให้เขาต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำไว้

เรียบเรียงจาก

DONALD TRUMP AND AMERICA’S DEMOCRATIC REPUTATION, Foreign Policy In Focus, 12-04-2023

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

ผลโพล https://projects.fivethirtyeight.com/polls/president-general/

Catch and Kill, Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Catch_and_kill

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net