Skip to main content
sharethis





การเมือง


 


จัดงานสโมสรสันนิบาต ที่หอประชุมกองทัพเรือ


ไทยรัฐ - วานนี้ (17 พ.ย.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจ ความพร้อมของหอประชุมกองทัพเรือ เพื่อใช้ในการจัดงานสโมสรสันนิบาต เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 5 ธันวาคม 2551 โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2551


 


ทั้ง นี้ ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมงานดังกล่าวอย่างสมพระเกียรติ เพราะที่ผ่านมา การจัดงานสโมสรสันนิบาตจะจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ครั้งนี้ไม่สามารถจัดงานได้ จึงต้องใช้สโมสรทหารเรือแทน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรียังปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะโฟนอินเข้ามาในรายการความจริงวันนี้สัญจรอีกครั้งหนึ่ง โดยได้เดินขึ้นรถกลับทันที


 


 


กอ.รมน. ชี้อำนาจนายกฯ ตั้ง "พัลลภ"


มติชน - กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ชี้กรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี จะกลับมานั่งทำหน้าที่ผู้ช่วย ผอ.รมน. เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีตัดสินใจ ทั้งนี้ พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. แถลงที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน ภายหลังการประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันของ กอ.รมน ว่า ในที่ประชุมมีการรายงานข้อมูลกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน. ระบุว่า จะกลับมาทำหน้าที่ใน กอ.รมน. อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ กอ.รมน.ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลถึงการรายงานที่เป็นเอกสาร คิดว่าคงเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเพราะมีตำแหน่งเป็น ผอ.รมน. มีอำนาจที่จะแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วย ผอ.รมน.ได้ ตามกรอบของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาตราที่ 5 วรรค 4 ว่าด้วย ผอ.รมน.สามารถแต่งตั้ง ผช.ผอ.รมน.ได้ โดยที่บุคคลนั้นจะต้องอยู่ในสังกัดของ กอ.รมน. คือ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโครง สร้าง และการแบ่งมอบงานของ กอ.รมน. ในการแต่งตั้งจะต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะมีขั้นตอนว่า การแต่งตั้งจะต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง


 


เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้อยู่ในข่ายนี้ พ.อ.ธนาธิปกล่าวว่า จะต้องมาตีความอีกครั้งหนึ่ง ในส่วน กอ.รมน. ไม่มีปัญหาเพราะเป็นหน้าที่ของนายกฯจะเป็นผู้ตัดสินใจ คงไปตกลงใจแทนนายกฯไม่ได้ว่าจะให้เป็นที่ปรึกษา หรือตำแหน่งใดใน กอ.รมน. ในการแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษา ผอ.รมน. ตามมาตราที่ 10 ของคณะกรรมการอำนวยการ ที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 22 คน และในวงเล็บ 4 มีหน้าที่ในเรื่องของการแต่งตั้งที่ปรึกษา โดยจะใช้ในลักษณะการเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด โดยจะแบ่งงานของแต่ละบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบ เช่น งานของรัฐศาสตร์ หรือการดูแลภาพรวมของงานด้านความมั่นคง การใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ดังนั้น จึงสามารถแต่งตั้งขึ้นมาได้ หากเป็นไปตามกรอบของมาตราที่ 10 ซึ่งบุคคลใดที่แต่งตั้งขึ้นมาก็เป็นบุคคลภายนอก ซึ่งไม่ได้ลงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ จะแต่งตั้งใครก็ได้เข้ามาช่วยทำงาน


 


"ขณะนี้โครงสร้างของ กอ.รมน.ทำเสร็จแล้ว แต่รอที่จะเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์นี้ เพื่อออกเป็นมติ หากถามว่า พล.อ.พัลลภจะเข้ามาดูแลสถานการณ์ได้หรือไม่นั้น คงตอบไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายกฯ และคณะกรรมการต่างๆ ที่มีการพิจารณาตามขั้นตอน เรื่องการจัดคนให้มาทำงานใน กอ.รมน.ในอดีตต่างจากปัจจุบัน"


 


โฆษก กอ.รมน.กล่าวอีกว่า ถ้าหากโครงสร้างของ กอ.รมน.ผ่านการทำงานของเจ้าหน้าที่จะมีความสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะมาตราที่ 15 ที่ได้มอบหมายให้ กอ.รมน.ดูแลความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ ถ้าหาก กอ.รมน. เข้าไปดูแลพื้นที่ต่างๆ ได้ สามารถที่จะห้ามไม่ให้มีการพกพาอาวุธได้ เป็นไปตามมาตราที่ 18 คือมีการออกข้อกฎหมายเพิ่มเติม เช่น การห้ามผ่านเส้นทางคมนาคมที่จำเป็น หรือการห้ามออกนอกเคหสถานเวลาที่กำหนด แต่จะมีข้อแตกต่างจาก พ.ร.บ.อยู่ 1 ข้อ ถ้าเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะห้ามการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป แต่ในส่วนของ พ.ร.บ.ความมั่นคงไม่ได้ห้าม เพียงแต่ให้ชุมนุมในที่สาธารณะและต้องเป็นไปตามกฎหมาย


 


เมื่อถามว่า ถ้า ครม.อนุมัติให้โครงสร้าง ใหม่ของ กอ.รมน. ผ่านจะสามารถดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้หรือไม่ พ.อ.ธนาธิปกล่าวว่า จะต้องมีการประเมินสถานการณ์กันก่อนว่าในพื้นที่ใดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงและกินเวลายาวนาน ซึ่งมีหลายหน่วยงานเข้ามาดูแล จะต้องออกเป็นมติของ ครม. เพื่อให้ กอ.รมน.มาบูรณาการกำลัง ทั้งนี้ สถาน การณ์จะรุนแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ ครม.เป็นผู้พิจารณาให้ใครรับผิดชอบบ้าง หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นจะต้องควบคุมหรือประกาศพื้นที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักร เมื่อ ครม.มีมติเห็นชอบแล้ว ทางนายกฯจะเป็นผู้ประกาศอีกครั้ง พร้อมสั่งหน่วยงานของรัฐเข้าไปดูแล แต่ถ้าเข้าไปดูแลยังไม่สามารถทำอะไรได้ กอ.รมน. ก็สามารถดูแลในภาพรวมได้ และหากประเมินสถานการณ์แล้วเมื่อมีการชุมนุมแล้วจะมีการลุกลามบานปลายจะเป็นภัยต่อความมั่นคงจะต้องใช้กฎหมายตัวนี้ หรือใช้กฎหมายที่แรงกว่าคือ  พ.ร.ก.ฉุกเฉิน


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการประชุม กอ.รมน. ประจำสัปดาห์ มีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ รองผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.) พล.ท. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบก เป็นต้น โดยที่ประชุมหยิบยกคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภต่อหน้าหนังสือพิมพ์ที่ระบุจะกลับเข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผอ.รมน. โดยที่ประชุมได้แสดงความเห็นว่าตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ตามมาตรา 5 วรรคที่ 4 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าเป็นอำนาจของนายกฯ และหากมีปัญหาก็อาจจะต้องนำสู่การตีความ


 


รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงสร้างของ กอ.รมน. ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 นั้น ระบุให้ กอ.รมน. ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.รมน. และเมื่อดูจากโครงสร้างที่ระบุไว้แล้ว พล.อ.พัลลภจะไม่ สามารถดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.รมน.ได้ เนื่องจากมาตรา 5 ระบุให้ ผบ.ทบ. เป็นรอง ผอ.รมน.โดยตำแหน่ง นอกจากนี้ พล.อ. พัลลภอาจไม่สามารถเป็นผู้ช่วย ผอ.รมน.ได้เช่นกัน เนื่องจากในมาตรา 5 ระบุเกี่ยวกับอำนาจของนายกฯในฐานะ ผอ.รมน. อาจแต่งตั้งผู้ช่วย ผอ.รมน.จากข้าราชการในสังกัด กอ.รมน. หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นได้ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างและการแบ่งส่วนงานภายในของ กอ.รมน. ซึ่ง พล.อ.พัลลภอาจไม่เข้าข่าย เพราะปัจจุบันไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สังกัด กอ.รมน. หรือหน่วยงานรัฐอื่น


 


"แต่ยังมีวิธีการที่ทำให้ พล.อ.พัลลภ สามารถนั่งผู้ช่วย ผอ.รมน.ได้ คือ ต้องแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมืองเสียก่อน เช่น ตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ เป็นต้น หรือไม่ก็ตั้งให้มาดำรงตำแหน่งใน ครม. จึงจะเข้าเกณฑ์ตามมาตรา 5 วรรค 4 แต่มีกระแสข่าวจากวงในรัฐบาล ว่า พรรคพลังประชาชน (พปช.ยังมีความกังวลในตัว พล.อ.พัลลภ เพราะเคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามมาก่อน ดังนั้น ถ้าจะคำนึงถึงความปลอดภัย ก็ควรให้มานั่งในตำแหน่งที่ปรึกษา ผอ.รมน. จะดีกว่า


 


 


"วีระ สมความคิด" แจ้ง ตำรวจเอาผิด "เสธ.แดง" ข่มขู่


มติชน - เวลา 14.00 น. วานนี้ (17 พ.ย.) นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท. ภูเบศ เส้นขาว รอง ผกก.สส.สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือ เสธ.แดง กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะมีผู้เข้ามาทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรที่ทำเนียบรัฐบาล นายวีระกล่าวว่า ที่มาแจ้งเพราะ เสธ.แดงให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเป็นคนฝึกนักรบพระเจ้าตาก พร้อมทั้งขู่กลุ่มพันธมิตรหลายครั้งให้ออกนอกทำเนียบ เรื่องการข่มขู่ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาแต่ไม่เห็นมีใครมาตรวจสอบจริงจัง


 


นายวีระกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วันที่ 21 ตุลาคม เวลา 14.45 น. ตำรวจจับกุมชายต้องสงสัย พกระเบิดขวด 1 ลูก หนังสติ๊กและอื่นๆ ได้ที่หน้าศาลหลักเมือง เขตพระนคร สอบสวนรับว่าเป็นกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก และ เสธ.แดง เคยฝึกอบรมให้จริง ที่สำคัญวันที่ 19 พฤศจิกายน เสธ.แดงยังประกาศว่าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายหากพันธมิตรไม่ออกจากทำเนียบ ต้องมีระเบิดแน่นอน จะแจ้งข้อหาตามความผิดต่างๆ 9 มาตรา เบื้องต้นแจ้งข้อหา อั้งยี่ และซ่องโจร และมีการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด มีการใช้ระเบิดและอาวุธทำร้าย และข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพ และชื่อเสียง โดยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209, 210, 211, 212, 213, 215, 221, 222 และ 309


 


 


ผู้ใช้น้ำฝายพญาคำจี้นายกฯยุติรื้อฝาย-สร้างประตูน้ำ ด้านรมว.เกษตรแจงไม่เคยรู้เรื่อง


ประชาธรรม - วันนี้ (17 พ.ย.) ที่หน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ กลุ่มผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำ และเครือข่ายประชาชน จ.เชียงใหม่-ลำพูน ประกอบดัวยเครือข่ายสมัชชาเหมืองฝายภาคเหนือ ชุมชนวัดเกต ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ภาคีคนฮักเจียงใหม่ จำนวนประมาณ 100 คน ได้รวมตัวชุมนุมกันเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ผ่านทางนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ เพื่อให้พิจารณาระงับการดำเนินงาน โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในลำน้ำปิง พร้อมรื้อย้ายฝายเก่า 3 แห่ง


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของเครือข่ายผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำและและเครือข่ายประชาชน จ.เชียงใหม่-ลำพูน ในครั้งนี้เป็นผลมาจากมีกระแสข่าวออกมาว่าในวันอังคารที่ 18 พ.ย.นี้ กรมชลประทานจะนำประเด็นโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในลำน้ำปิง พร้อมรื้อย้ายฝายเก่า 3 แห่ง เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติในการดำเนินการ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นผลให้มีการชุมนุมในครั้งนี้


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับหนังสือเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าวนั้นระบุว่า ตามที่ จ.เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้สำนักชลประทานที่ 1 เชียงใหม่ และประชาสัมพันธ์ จ.เชียงใหม่ดำเนินการประชาสัมพันธ์ โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำในลำน้ำปิง พร้อมรื้อย้ายฝายเก่า 3 แห่ง และทำความเข้าใจกับประชาชน โดยมีการพาสื่อมวลชนและประชาชนศึกษาดูงานโครงการประตูระบายน้ำที่ จ.ชัยนาท และการเปิดเวทีรับฟังและชี้แจงโครงการฯ จำนวน 7 ครั้ง ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพราะยังมีประชาชนที่ยังไม่เห็นด้วยและยังไม่เข้าใจโครงการ และรวมถึงการดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ซึ่งภายหลังการดำเนินการดังกล่าวมีการแถลงสรุปว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย กับโครงการฯ


 


กลุ่มผู้ใช้น้ำฝายพญาคำและเครือข่ายประชาชน จ.เชียงใหม่-ลำพูน ที่มีความห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของ จ.เชียงใหม่ ได้ติดตามการแก้ปัญหาน้ำท่วม จ.เชียงใหม่ ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด อยากให้การดำเนินการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างโปร่งใส รอบด้าน และประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบหรือปัญหาสะสมตามมาภายหลังจึงมีข้อเสนอดังต่อไปนี้


 


1. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวไว้ก่อน 2. ให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย อันประกอบด้วยตัวแทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ ผู้แทนกลุ่มผู้ใช้น้ำ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาคประชาชนเพื่อร่วมกันพิจารณาทบทวนโครงการฯ ดังกล่าวอย่างรอบด้าน ทั้งผลดี ผลเสีย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส โดยไม่ยึดตัวโครงการเป็นที่ตั้ง หากแต่เชื่อมโยงกับการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อพิจารณาว่าโครงการนี้มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด รวมทั้งเปิดโอกาสให้กับข้อเสนอทางเลือกอื่นๆ


 


นายสมบูรณ์ บุญชู รองประธานฝายพญาคำ กล่าวว่า การออกมาเรียกร้องของชาวบ้านกลุ่มผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำนั้นมีการเรียกร้อง กันมาตั้งแต่ปี 2548 และเรียกร้องไปยังหลายหน่วยงาน ให้ยุติการดำเนินการ ที่ผ่านมาชาวบ้านได้อธิบายปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้น้ำมาโดยตลอดว่าจะ เกิดปัญหาอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ชาวบ้านเสนอไปนั้นไม่มีความคืบหน้าใดๆ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ยังผลักดันโครงการนี้มาโดยตลอด และล่าสุดตนได้ข่าวมาว่าในวันอังคารที่ 18 พ.ย.นี้ จะมีการนำเรื่องการรื้อฝาย 3 ฝายและสร้างประตูระบายน้ำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนั่นหมายความว่าสิ่งที่ชาวบ้านเคลื่อนไหว เรียกร้องมาโดยตลอดไม่มีความหมาย


 


นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นการรวมตัวชุมนุมของกลุ่มผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำ และเครือข่ายประชาชน จ.เชียงใหม่-ลำพูน ในวันนี้เราต้องการคำตอบที่ชัดเจนว่าภาครัฐต้องไม่นำโครงการก่อสร้างประตู ระบายน้ำในลำน้ำปิง พร้อมรื้อย้ายฝายเก่า 3 แห่ง เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และที่สำคัญต้องยุติโครงการนี้ และให้ดำเนินการตามข้อเสนอ 2 ข้อที่เสนอไป และหากวันนี้ยังไม่มีความชัดเจน ชาวบ้านจะนัดรวมตัวปิดถนนบริเวณเชิงสะพานนวรัฐ ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำปิง


 


นางพาที ไชยนิลพันธุ์ ประธานชุมชนวัดเกต กล่าวว่า โครงการนี้หากมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคระรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ โครงการไปแล้วชาวบ้านจะเคลื่อนไหวคัดค้านให้มีการยุติการดำเนินการยากมาก ดังนั้นการชุมนุมในวันนี้เรายืนยันชุมนุมยืดเยื้อจนกว่าจะได้รับคำตอบตามที่ เรียกร้อง


 


นางพาที กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวดำเนินการโดยกรมชลประทานซึ่งใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท มีการอ้างเหตุผลว่าต้องการแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงใหม่ แต่ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านชี้แจงมาโดยตลอดว่าสาเหตุน้ำท่วมเมืองเชียงใหม่ไม่ได้ อยู่ที่ฝายแต่อยู่ที่ปัญหาการสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำริมสองฝั่งแม่น้ำปิง อีกทั้งบางช่วงของลำน้ำมีลักษณะตื้นเขิน ดังนั้นการรื้อฝายและการสร้างประตูน้ำจึงไม่ใช่การแก้ปัญหา ในทางตรงกันข้ามยังจะสร้างผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำจากฝายพญาคำที่ครอบคลุม พื้นที่ 3 อำเภอ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูนอีกด้วย


 


นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเนื่องในโอกาสเดินทางมาราชการ จ.เชียงใหม่ว่า กรณีการรื้อฝายพญาคำ ฝายท่าวังตาล รวมทั้งฝายหนองผึ้งที่กั้นแม่น้ำปิง รวมทั้งโครงการสร้างประตูระบายน้ำขึ้นมาแทนนั้นตนยังไม่ทราบรายละเอียดแต่ อย่างใด แม้ชาวบ้านจะบอกว่าเคยยื่นหนังสือเรียกร้องมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีหน่วยงานใดรายงานให้ทราบ ดังนั้นเรื่องนี้ตนจะเรียกอธิบดีกรมชลประทานมาชี้แจงข้อมูลต่อไป และตนขอยืนยันกับชาวบ้านว่าจะไม่มีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะ รัฐมนตรีอย่างแน่นอน


 


อนึ่ง โครงการสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำปิง พร้อมรื้อฝายทั้ง 3 แห่งนั้น เป็นโครงการของกรมชลประทาน มีมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท โดยการดำเนินการตามโครงการจะประกอบด้วย 1.การสร้างประตูระบายน้ำชนิดบานเหล็กโค้ง ขนาดบานระบายน้ำกว้าง 12.50 เมตร สูง 6.50 เมตร จำนวน 6 บาน พร้อมระบบควบคุมน้ำอัตโนมัติ 2.บันไดปลาโจน ขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 2.7 เมตร 3.อาคารท่อส่งน้ำปากคลองขนาด 2x2 เมตร จำนวน 3 แห่ง เพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่ฝายทั้ง 3 ฝาย และ 4.การรื้อฝายฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล


 


 






สิ่งแวดล้อม - คุณภาพชีวิต


 


รฟม.ทำรถไฟฟ้าสายสีเขียว  กทม.ขอเอี่ยวร่วมบริหาร


เว็บไซต์แนวหน้า - รัฐบาลมีมติให้รฟม.รับหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมเปิดช่องให้กทม.เข้าร่วมลงทุนในอนาคต เตรียมชงเรื่องเข้าครม.ในสัปดาห์หน้า หลังจากถูกที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตีกลับเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาเพราะมีปัญหาข้อโต้แย้งระหว่างกรุงเทพฯและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ว่าใครจะเป็นผู้ดูแลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 2 เส้นทางคือ สายสีเขียวอ่อน (แบริ่ง-สมุทรปราการ) สายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่) มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 64,832 ล้านบาทด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชี้ขาดโดยมีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน


 


ในที่สุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีมติให้รฟม.รับหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะนำข้อสรุปเข้าสู่ที่ประชุมครม. เพื่อพิจารณาในสัปดาห์หน้า


 


นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคมกล่าวว่าผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร(กทม.) ได้มีความเห็นสอดคล้องตาม มติครม.เดิมที่ให้รฟม. รับหน้าที่ในการบริหารรับผิดชอบโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว แม้ว่าก่อนหน้านี้กทม.จะส่งหนังสือไปยัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)เพื่อขอรับผิดชอบดูแลโครงการทั้งหมด


 


"สายสีเขียวนี้รฟม.จะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด และหากโครงการแล้วเสร็จ กทม.จะขอเข้ามามีส่วนร่วม กระทรวงคมนาคมก็ไม่ขัดข้อง ซึ่งที่ผ่านมาโดยเฉพาะสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมงคล เอกชนก็เข้ามามีสวนในการเดินรถ หากกทม.จะเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินรถกับ รฟม.ก็เข้ามาทำได้" นายสันติ กล่าว


 


ทั้งนี้ในส่วนของการเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินรถนั้นรฟม. จะหารือเบื้องต้นก่อนว่า การเข้ามาบริหารงานร่วมกันนั้นจะเป็นในรูปแบบรัฐบาลและเอกชนลงทุนร่วมกัน (Public private Partnership:PPP ) ในลักษณะใด


 


นายสันติ กล่าวว่าการที่ กทม. จะเข้ามาถือหุ้นส่วนในการบริหารโครงการร่วมกับรฟม.นั้น รฟม.จะเป็นผู้พิจารณาเองว่าจะให้ กทม.เข้ามาถือหุ้นได้เท่าไหร่ ซึ่งที่ผ่านมาในสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมงคล บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (บีเอ็มซีแอล) ได้ถือหุ้น 25 %


 


"ส่วนการต่อเชื่อมโครงการกับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส ที่สถานีหมอชิตนั้นรฟม. ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่การที่จะเชื่อมต่อได้หรือไม่ต้องกลับไปศึกษารายละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่จะต้องสอดคล้อง ใกล้เคียงกัน เพื่อที่จะไม่มีปัญหาภายหลัง"


 


 


พ่อเมืองตากเตือนอย่าตื่นข่าวแร่ทอง ชี้เป็นแค่'ไพไรต์'


ไทยรัฐ - วานนี้ (17 พ.ย.) นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้มอบหมายให้นายกิติศักดิ์ โตมรศักดิ์ นายอำเภอแม่สอด ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีชาวบ้านพากันเข้าไปขุดดินหาก้อนแร่ใน พื้นที่บ้านห้วยกะโหลก หมู่ 4 ต.แม่ปะ เพราะคิดว่าเป็นแร่ทองคำ


 


นาย คมสัน เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างส่งให้นักธรณีวิทยา สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ตรวจวิเคราะห์เบื้องต้น คาดว่าเป็นแร่ไพไรต์ มีลักษณะคล้ายทอง พบได้ทั่วไปหลายจังหวัด หากพบที่ จ.อุบลราชธานี เรียกว่า ทองหน้าทั่ง เป็นแร่โลหะ มีส่วนผสมนิเกิล ทองแดง ทองเหลือง ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ จึงเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลือว่ามีร้านทองรับซื้อ เพราะร้านทองจะรับซื้อเฉพาะทองคำแท้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จังหวัดตากจะส่งแร่ที่พบส่งไปตรวจสอบทางธรณีวิทยาที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพิสูจน์ให้ละเอียด


 


 


พายุนูลมุ่งถล่มเวียดนาม! อุตุฯแจงอัด "สมิทธ" เลิกวิตกสตอร์มเซิร์จ


เว็บไซต์ไทยรัฐ - เหตุเตือนภัยพายุ "นูล" หวั่นเกิด"สตอร์ม เซิร์จ" เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 17 พ.ย. ที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อ.เมืองนนทบุรี นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยแห่งชาติ แจ้งเตือนว่า ทางศูนย์ฯ ได้ตรวจพบพายุโซนร้อน "นูล" (Noul)ก่อตัวในทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันออกห่างจากเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนามประมาณ 550 กม. หรือที่ละติจูด 11.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 111.9 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กม./ชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งของประเทศเวียดนามตอนใต้ ช่วงวันที่ 17 -18 พ.ย. ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันออก พื้นที่ชายฝั่งทางภาคตะวันออกของอ่าวไทย บริเวณ จ.จันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี และชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย ตั้งแต่ จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีฝนตกเพิ่มขึ้น ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 18-21 พ.ย.


 


ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยแห่งชาติกล่าวต่อว่า จากสภาพดังกล่าว จึงฝากเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวให้เฝ้าระวังอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และขอให้ชาวเรือระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงดังกล่าว เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งและควรหยุดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว พร้อมกับย้ำว่า พายุโซนร้อน "นูล" ที่ก่อตัวอยู่ในขณะนี้ ถือว่าเป็นพายุลูกใหญ่ สามารถพัดทำลายทรัพย์สินและสิ่งของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและในพื้นที่ภาคตะวันออกได้ จึงฝากเตือนให้ต้องคอยเฝ้าระวังและถ้าพายุโซนร้อน "นูล" มีกำลังแรงและมีคลื่นสูงกว่า 6 เมตร อาจทำให้เกิดปรากฎการณ์"สตอร์ม เซิร์จ" หรือ "คลื่นพายุหมุน"


 


ขณะเดียวกัน นายประชา เตรัตน์ ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงการเตรียมรับผลกระทบจากพายุ "นูล"ว่า ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอุทกภัยน้ำท่วมฉับพลันและคลื่นลมแรงชาวเรือควรพิจารณาเดินเรือด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะเรือเล็กห้ามออกจากฝั่งในระยะ 5-6 วันนี้ คือตั้งแต่วันที่ 18-23 พ.ยงนี้ เนื่องจากการที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศแจ้งเตือน เรื่องพายุโซนร้อน "นูล" ที่เกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ตอนกลาง จะส่งผลกระทบทำให้ภาคตะวันออกของประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้น และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูงกว่า 2 เมตร


 


ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวต่อว่า นอกจากมีการแจ้งเตือนประชาชนทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียงในพื้นที่อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังได้แจ้งผ่านทางอำเภอท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งให้แจ้งประกาศเตือนให้ประชาชนได้รับทราบทุกระยะ และได้จัดเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะมิสเตอร์เตือนภัยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเตรียมการรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และหากเกิดสาธารณภัยให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนตามแผนป้องกันภัยพลเรือนจังหวัดสุราษฎร์ธานี


 


สำหรับเหตุความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีพื้นที่ได้รับความเสียหาย 7 อำเภอ 35 ตำบล 235 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 12,364 ครัวเรือน 18,768 คน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 5.3 ล้านบาท ถนนได้รับความเสียหาย 117 สาย สะพานได้รับความเสียหาย 3 แห่ง คอสะพานได้รับความเสียหาย 28 แห่ง ท่อระบายน้ำได้รับความเสียหาย 6 แห่ง เขื่อน คสล. ได้รับความเสียหาย 1 แห่ง พื้นที่การเกษตร พืชไร่ พืชสวน เสียหายประมาณ 53,367 ไร่


 


ที่ จ.ปัตตานี นายประมุข ลมุน รอง ผวจ. ปัตตานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าสำรวจพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก และตรวจเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำปัตตานีเนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยเกิดน้ำท่วมในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.ทุกปี เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยนายประมุขเปิดเผยว่า ทางจังหวัดได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ก็มีการตั้งศูนย์เฝ้าระวังน้ำท่วมแล้ว ส่วนการมาสำรวจพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก เขต อ.เมืองปัตตานี เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มติดกับแม่น้ำปัตตานีและเกิดน้ำท่วมทุกปีระดับน้ำสูง 2-3 เมตร ทำให้บ้านเรือนถูกน้ำท่วมจมอยู่ใต้น้ำ ส่วนชาวบ้านต้องอพยพขึ้นไปอยู่บนที่สูง ประชาชนในพื้นที่ ต.ปะกาฮารัง ทั้ง 8 หมู่บ้านต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก


 


รอง ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวต่อว่า ได้เรียกนายก อบต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามาสอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ และการเตรียมพร้อมในเบื้องต้นหากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน บางรายได้เตรียมเรือไว้ และมีการขนย้ายสิ่งของขึ้นอยู่บนที่สูงแล้ว ขณะที่ทางจังหวัดได้เตรียมเจ้าหน้าที่และเรือท้องแบนคอยให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนพื้นที่เสี่ยงมี 2 สาย คือ สายแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี โดยหลักๆ มี อ.ยะรัง อ.แม่ลาน อ.หนองจิก และ อ.เมืองปัตตานี รองลงมา อ.สายบุรี อ.โคกโพธิ์ ขณะที่ริมทะเลก็มีพื้นที่เสี่ยงภัย คือ อ.ยะหริ่ง อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนคอยฟังข่าวจากกรมอุตุนิยมวิทยา ข่าวสารทางจังหวัด และให้มีการเตรียมความพร้อมและป้องกันเหตุน้ำท่วมฉับพลันในระยะนี้ หากเกิดน้ำท่วมให้รีบแจ้งไปยังศูนย์เฝ้าระวังระดับตำบลเพื่อเจ้าหน้าที่จะเร่งให้ความช่วยเหลือทันที


 


ต่อมาเวลา 16.00 น. กรมอุตุวิทยา ออกประกาศเตือนภัยเรื่อง พายุโซนร้อน "นูล" ฉบับที่ 6 ว่าพายุโซนร้อยนูล ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองนาตรังประเทศเวียดนามแล้ว หรือที่ละติจูด 11.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.8 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กม./ชั่วโมง และกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 25 กม./ชั่วโมง คาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังเป็นลำดับ โดยจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศกัมพูชาในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ของประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นโดยจะมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายจากการเดินเรือในช่วงวันที่ 18-21 พ.ย. อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่ได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในวันที่ 18 พ.ย. โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้อากาศหนาวเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 2-5 องศา


 


ด้านนายต่อศักดิ์ วานิชขจร รักษาการอธิบดีกรมอุตุวิทยาเปิดเผยว่า ทิศทางของพายุโซนร้อนนูลที่ขึ้นฝั่งเมืองนาตรัง ประเทศเวียดนาม อ่อนกำลังลงแล้วและเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศกัมพูชา ส่วนประเทศไทยได้รับผลกระทบเล็กน้อย บริเวณ จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร จะมีฝนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนโอกาสเกิด "สตอร์ม เซิร์จ" ฟันธงว่าไม่มีแน่นอน เพราะการเกิดสตอร์ม เซิร์จ ต้องเกิดพายุไต้ฝุ่นมีความเร็วลมไม่ต่ำกว่า 150 กม./ชั่วโมง ซึ่งช่วงนี้ใกล้หมดฤดูพายุใต้ฝุ่น ที่จะมีระหว่างเดือน ต.ค.ถึง พ.ย.แล้ว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ หากมีแนวโน้มการเกิดสตอร์มเซิร์จ กรมอุตุนิยมวิทยาสามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ 2-3 วัน ขอให้ประชาชนอย่างวิตก


 


 






เศรษฐกิจ


 


ข่าวดี! ราคาน้ำมันลดอีก 40-80 สต./ลิตร เช้าวันพรุ่งนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชลล์ประเทศไทย จำกัด ประกาศลดราคาน้ำมัน มีผลเช้าวันพรุ่งนี้ (19 พ.ย.) โดยลดราคาน้ำมันเบนซิน 80 สตางค์/ลิตร  แก๊สโซฮอล์ลดลง 40 สตางค์/ลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี 85  ไบโอดีเซลลดลง 50 สตางค์/ลิตร  ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 19.89  บาท แก๊สโซฮอล์  91 ลิตรละ 19.09  บาท เบนซิน 95 ลิตรละ 28.79 บาท  เบนซิน 91 ลิตรละ 24.59 บาท  ดีเซลบี 2 ลิตรละ 22.24  บาท และดีเซลบี 5  ลิตรละ 20.74 บาท


 


สำหรับการปรับลดราคาน้ำมันครั้งนี้  ทำให้ส่วนต่างของไบโอดีเซลบี 2 และบี 5  ต่างกัน  1.50  บาท/ลิตร  ซึ่งเป็นการลดราคาเพื่อส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลบี 5 เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาปาล์มล้นตลาด เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอีกทางหนึ่ง  และเตรียมพร้อมที่จะรองรับกรณีกระทรวงพลังงานเรียกเก็บเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอีก 50  สตางค์ต่อลิตร เพื่อนำไปสร้างรถไฟฟ้า  โดยขณะนี้ขั้นตอนของการเก็บเงินกองทุนฯ อยู่ระหว่างการรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา


 


 


พลังงานยังตรึงราคาขายเอ็นจีวีที่กก.ละ 8.50 บ.


ไทยรัฐ - นพ. วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าววานนี้ (17 พ.ย.) ว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมพิจารณาปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของราคาตลาดโลก ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและประเมินข้อมูลตัวเลขที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พร้อมยืนยัน กระทรวงพลังงาน ยังไม่มีการประชุมพิจารณาอัตราราคาเอ็นจีวีใหม่แต่อย่างใด ยังคงราคาจำหน่ายเอ็นจีวีในราคาเดิมที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัมไปก่อน


 


ทั้ง นี้ รมว.กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ส่งกระทบต่อการติดตั้งก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ในรถยนต์มาก ซึ่งจำนวนรถยนต์ที่มาติดตั้งเอ็นจีวีทั้งประเทศปรับลดลงจากเดิมที่มีการติด ตั้งอู่ละ 300 - 400 คันต่อเดือน เหลือเพียง 100 - 200 คันต่อเดือน ส่วนราคาติดตั้งเอ็นจีวีลดลงเหลือ 40,000 ต่อคัน จากเดิมที่มีราคา 50,000 - 60,000 บาทต่อคัน


 


 






ต่างประเทศ


 


"โอบามา" ถก "แมคเคน" ช่วยแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจมะกัน


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (18 พ.ย.) ตามเวลาในประเทศไทย ว่า นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พบหารือกับนายจอห์น แมคเคน คู่แข่งแย่งเก้าอี้ประธานาธิบดี เกี่ยวกับความพยายามแก้ไขวิกฤติที่สหรัฐฯ เผชิญอยู่


 


การพบหารือครั้งนี้มีขึ้นเป็นการส่วนตัว ที่สำนักงานของนายโอบามา ในนครชิคาโก ซึ่งเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่นายโอบามา เอาชนะนายแมคเคน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา นอกจากนายโอบามา และนายแมคเคนแล้ว ยังรวมถึงคนสนิทและที่ปรึกษาของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ได้เข้าร่วมหารือด้วย คาดว่า นายโอบามา และนายแมคเคน จะหารือเกี่ยวกับประเด็นปัญหาต่างๆ ที่สหรัฐกำลังเผชิญ


 


อย่าง ไรก็ดี หลายฝ่ายเชื่อว่า นายโอบามา ที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ คงไม่เลือกนายแมคเคน ซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐแอริโซนา ให้เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาลชุดใหม่ของเขา ก่อนจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า


 


 


ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งแรก ในรอบ 7 ปี


ไทยรัฐ - วานนี้ (17 พ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างเจ้าหน้าที่ด้านข้อมูลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ขณะที่วิกฤติเศรษฐกิจโลกกำลังสร้างความเสียหายให้กับนานาประเทศรวมทั้ง ญี่ปุ่นด้วย


 


ทั้ง นี้ รายชื่อของประเทศที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยระบุว่า มีเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น แม้ว่ามีความพยายามกู้วิกฤติการเงินโลกแต่เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็ยังคง ได้รับผลกระทบอย่างหนัก 


 


ด้าน นางโนริโกะ ฮามา ศาสตราจารย์และนักเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโดชิชากล่าวเตือนว่า ปรากฏการณ์ด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความถดถอย ทางเศรษฐกิจระยะสั้นหรือปราศจากความเจ็บปวด


 


ญี่ปุ่น ได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลา 10 ปีเมื่อครั้งเผชิญกับวิกฤติด้านการเงินในปี 2533 และญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2544 


 


ขณะ เดียวกัน ผลการสำรวจล่าสุดชี้ว่า คะแนนนิยมของนายทาโร่ อาโซะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ลดต่ำลงมากกว่าร้อยละ 30 หลังจากประชาชนรู้สึกไม่พอในแผนกู้วิกฤติเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือยของเขา


 


เครือ ข่ายโทรทัศน์เอเอ็นเอ็นระบุว่า ผู้ให้การสนับสนุนรัฐบาลของนายอาโซะมีจำนวนลดน้อยลงมาอยู่ที่ร้อยละ 29.6 ซึ่งลดลงจากเมื่อต้นเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50 ขณะที่คะแนนความไม่พอใจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 46.8 จากเดิมร้อยละ 37 เมื่อต้นเดือน ต.ค.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net