"ประชาธิปไตยคืออะไร ได้มาจากไหน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีที่มาอย่างไร ทำไมต้องมาจากชาติตะวันตก""พุทธศาสนาคืออะไร ได้มาจากไหน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีที่มาอย่างไร ทำไมเหมาะสมเฉพาะสยามประเทศ"
เหตุใดและทำไมในช่วงที่ผ่านมา บรรดาปัญญาชนทั้งหลายที่ต้องการแทนคุณแผ่นดิน บรรดาบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน รวมถึงบรรดาราษฎรอาวุโสที่แต่งตั้งกันขึ้นมาเอง ต่างพร้อมใจกันออกมาถกเถียงและโต้แย้งเรื่องหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกัน เสรีภาพและความเสมอภาค ว่ามีต้นกำเนิดมาจากชนชาติตะวันตก เป็นของชนชาติตะวันตก และทำเพื่อประโยชน์ของชนชาติตะวันตก บุคคลกลุ่มนี้ได้พยายามอย่างแข็งขันเพื่อโน้มน้าวจิตใจ ความคิด ทัศนคติ รวมทั้งนำเสนอชุดกระบวนทัศน์เชิงอนุรักษ์นิยมที่ว่า สิ่งเหล่านี้ยังไม่เหมาะกับสังคมไทย คนส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมที่จะเข้าใจ เข้าถึงและพัฒนาเรื่องประชาธิปไตยได้ เพราะสังคมไทยมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างหาที่เปรียบมิได้แล้วบนโลกใบนี้ เป็นสังคมอุดมคติที่หมู่คนทุกชนชั้นอยู่ด้วยกันอย่างสันติ รักความสงบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูกด้วยคุณธรรมอันดีงาม และเป็นสังคมแห่งความดีที่สมบูรณ์แบบอันมีรากเหง้ามาแต่โบราณ
แต่ฉับพลันทันใดที่สังคมศักดินาแห่งสยามประเทศ ได้นำแนวความคิดเรื่องประชาธิปไตยจากชาติตะวันตกเข้ามานั้น ก็ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อบ้านเมืองอย่างมากมายตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุคสมัยเผด็จการทหาร ยุคสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือยุคสมัยประชาธิปไตยเต็มใบภายใต้การควบคุมของชนชั้นปกครอง คล้ายกับว่าปัญหาที่กล่าวมานั้น เกิดมาจากแนวคิดประชาธิปไตยที่ไม่ตอบสนองต่อบริบทการควบคุมสังคมผ่านการปกครองเหมือนอดีตที่ผ่านมา
ประชาธิปไตยนั้นมาจากไหนกัน ทำไมต้องมีที่มาจากชาติตะวันตกด้วย จริงๆ แล้วประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วรอบตัวเรา เป็นกลไกธรรมชาติที่ได้จัดสรรไว้ดีแล้ว ซึ่งธรรมชาติเองก็ได้กำหนดให้มีความสมดุลที่จะทำให้สังคมใดๆ ก็ตาม ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สามารถเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่นและมีผลกระทบน้อยที่สุด โดยที่บรรดานักคิด นักปราชญ์ นักทฤษฎีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เรื่อยมาจนถึงยุคแห่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมนั้น ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและอุปสรรครอบข้าง เช่น การจัดระเบียบสังคมเพื่อลดความขัดแย้ง รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นธรรมและพอเพียง เป็นต้น หลังจากนั้นก็ได้พยายามตั้งคำถามและค้นหาทางออกของปัญหาเรื่อยมา มีการตั้งสมมติฐานและทำการทดลองผ่านกาลเวลามายาวนาน ลองทั้งผิดและถูก จนในที่สามารถสรุปออกมาเป็นแนวคิดทฤษฎีที่มั่นคงและเชื่อถือได้ มีหลักการรองรับ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วด้วยข้อมูลเชิงสถิติที่อ้างอิงและจับต้องได้ ผ่านการตั้งคำถามที่ถูกต้อง รวมทั้งมีคำตอบที่ชัดเจนต่อทุกคำถาม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ประชาธิปไตยเป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในสังคม มีอยู่แล้วรอบตัวเรา ถูกจัดวางและสร้างสรรค์ไว้ดีแล้ว เพียงแต่ชนชาติตะวันตกได้เริ่มศึกษา ค้นคว้า และหาคำตอบก่อนใคร
หน้าประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของมนุษยชาติที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์อย่างเป็นจริงแน่แท้แล้วว่า ทฤษฎีนี้เป็นจริงทุกกรณี ทุกเชื้อชาติ ทุกพื้นที่ สามารถใช้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้อย่างสันติ โดยมีผลกระทบและความเสียหายน้อยที่สุด เช่นเดียวกับธรรมชาติที่ได้สร้างสมดุลไว้ให้โลกมนุษย์ เป็นความสมดุลที่ไม่สมบูรณ์ นั่นคือ มีทั้งขาวและดำอยู่ด้วยกันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน หากปราศจากขาวและดำ หรือปรากฏเป็นขาวทั้งหมดหรือดำทั้งหมดแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถเรียกได้ว่า เป็นความสมดุลที่ไม่สมบูรณ์ ธรรมชาติแห่งจักรวาลนี้ได้สร้างสูตรผสมออกมาอย่างลงตัว และเมื่อใดก็ตามที่มีการแข็งขืนและฝืนกฎธรรมชาตินี้ มนุษย์เองก็จะได้รับผลจากการกระทำดังกล่าวที่ไม่อาจคาดเดาได้
แต่เหตุอันใด ทำไมกฎธรรมชาติข้อนี้จึงถูกยกเว้นไว้สำหรับสยามประเทศ ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า สังคมของเหล่าคนดีในดินแดนอุษาคเนย์ ซึ่งมีถิ่นฐานตั้งอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นอาณาเขตที่มีกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาและคุ้มครองอยู่ มีความเป็นเอกลักษณ์แห่งตัวตน ผู้มีบุญญาธิการถึงจะได้มาอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ และผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นถึงจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ เนื่องจากเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชนผู้มีคุณธรรม จริยธรรมและมโนธรรมในระดับสูง ที่คนทั่วไปไม่สามารถสัมผัสและเอื้อมถึง จึงเป็นสังคมที่อยู่นอกเหนือจากความสมดุลของธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นประชาธิปไตยที่มาจากดาวอังคารจึงไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมในดินแดนแถบนี้ เพราะนอกจากไม่เป็นไปตามมายาคติและความเชื่อที่ปลูกฝังสืบทอดกันมาแล้ว ยังอาจทำให้ชนชั้นปกครองตามจารีตประเพณีดั่งเดิมไม่สามารถคงอยู่ในสถานะอันทรงเกียรติต่อไปได้ หรืออาจถูกลดลำดับชั้นสถานะลงมาเท่าเทียมกับหมู่ชนคนทั่วไปก็เป็นไปได้
สังคมไทยมักจะได้รับฟังคำสอนหรือตำนานเล่าขานในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมความดีงามจากบรรดาชนชั้นนำหรือผู้กุมอำนาจรัฐอย่างสม่ำเสมอ จนอาจกล่าวได้ว่า สิ่งเหล่านี้ได้ซึมซับและซึมลึกเข้าสู่กระบวนความคิดไปโดยปริยาย จนทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เคยตั้งคำถามหรือเกิดความสงสัยแต่ประการใด ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร เป็นหลักไสยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ทราบได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงกฎที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อเหตุผลบางประการเท่านั้น อีกทั้งคำสอนนั้นยังผนวกเอาคติความเชื่อและบางส่วนของคำสอนทางศาสนาเข้าไปด้วย โดยได้สรรสร้างวาทกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาตามยุคสมัย พร้อมทั้งได้อรรถาธิบายความหมายให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาจึงถูกนำมาผสมปนเปเข้าไปในหลักการปกครองเพื่อใช้ควบคุมความเชื่อ ความศรัทธา ทั้งยังได้วางกรอบแนวคิดของคนในสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ออกนอกเส้นทางที่ควรจะเป็น หากผู้ใต้ปกครองคนใดมีความคิดที่แปลกแยก แตกต่าง และเกิดคำถามหรือข้อสงสัยในชุดคำตอบที่มีอยู่ หรือเบี่ยงเบนออกนอกเส้นทางที่ได้วางกรอบไว้แล้ว ก็จะมีเครื่องมือในการกล่อมเกลาและปรับทัศนคติเสียใหม่ โดยอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ซึ่งมีเพียงชนชั้นปกครองหรือผู้กุมอำนาจรัฐเท่านั้นที่ได้รับอาญาสิทธิ์ในการบัญญัติและเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ได้ ราวกับว่าพุทธศาสนามิได้มาจากดาวพระศุกร์ แต่บังเกิดขึ้นมาใช้เฉพาะดินแดนแห่งนี้เท่านั้น จนไม่สามารถนำเอาคำจำกัดความใดๆ ก็ตามของแนวคิดและความเชื่อทางพุทธศาสนาแบบสยามประเทศไปอธิบายและปรับใช้กับชนชาติอื่นได้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองเฉพาะอาณาบริเวณเขตนี้ รวมทั้งผู้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางจารีตนิยมและเชื่อฟังอย่างไม่ต้องสงสัย หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สยามประเทศได้สร้างสรรค์เปลือกนอกที่สวยงามขึ้นมาครอบแก่นแท้ของพุทธศาสนาไว้ ทั้งยังประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำไว้ใช้สั่งสอนขัดเกลาสำหรับกลุ่มชนแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาอีกด้วย
ในความเป็นจริงแล้ว พุทธศาสนาเป็นกฎธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัวและสามารถพบเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน พบได้ทุกขณะจิต เข้าถึงและสัมผัสได้ เพราะจักรวาลแห่งนี้ได้สรรสร้างเอาไว้อย่างลงตัว มีความสมดุลที่ไม่สมบูรณ์ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ รวมทั้งเป็นจริงในทุกกรณี โดยที่ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
เมื่อใดก็ตามที่คนทั่วไปถูกฝึกฝนให้คิดตรึกตรองและตั้งคำถามพร้อมทั้งค้นหาคำตอบ รวมถึงท้าทายความคิด ความเชื่อเก่าๆ คนเหล่านั้นก็จะได้ค้นพบกับอิสรภาพทางปัญญา และในที่สุดสามารถผุดพ้นขึ้นเหนือน้ำได้เพื่อรอรับแสงแดดแห่งรุ่งอรุณในยามเช้า
เมื่อใดก็ตามที่คนทั่วไปเริ่มทดลองเดินบนเส้นทางใหม่ๆ ก็จะค้นพบเส้นทางอื่นที่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันได้ ซึ่งอาจจะเป็นเส้นทางที่ใช้เวลาน้อยกว่าและเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนรวมมากกว่าด้วย และถึงแม้เส้นทางนั้นจะพบเจออุปสรรคมากมาย แต่ก็จะให้บทเรียนและประสบการณ์ในการค้นหาเส้นทางเดินใหม่ต่อไปได้
และเมื่อใดก็ตามที่คนทั่วไปเข้าใจหลักการและกฎธรรมชาติแล้ว ก็จะค้นพบสัจจะแห่งธรรม เพราะธรรมะ คือ ธรรมชาติ และเมื่อเข้าใจธรรมชาติแล้ว ท้ายที่สุดก็จะเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมะ นั่นคือ ความเสมอภาคและภราดรภาพ อันจะนำมาซึ่งสังคมแห่งสันติและผาสุก เพราะกฎธรรมชาติมีเพียงมาตรฐานเดียวที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีข้อยกเว้น และแล้วประชาธิปไตยก็จะอยู่ในกระแสลมที่พัดผ่านหมู่คนทุกชนชั้นซึ่งสามารถสัมผัส รับรู้ ได้ถึงกลิ่นอายแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน เพราะประชาธิปไตยนั้นมีอยู่แล้วบนโลกใบนี้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)