Skip to main content
sharethis

ที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทพอ.) 18 หน่วยงาน เตรียมพร้อมรับมือเศรษฐกิจสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน มีคุณภาพ เพื่อเตรียมการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในอีก 20 ปีข้างหน้า

27 มี.ค.2562 กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) รายงานว่า วันนี้ (27 มิ.ย.62) มี การประชุมวิชาการ ทอพ. ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ “Silver Society ขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจไทย” ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 5,6 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างหน่วยงาน ถ่ายทอดบทเรียน ความคิดเห็น การสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ และนำเสนอผลงานของแต่ละองค์กรผ่านเวทีการสัมมนาใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในหัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงวัย” ด้านสุขภาพ ในหัวข้อ “การดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย (Health Care)” ด้านเศรษฐกิจ ในหัวข้อ “ผู้ประกอบการสูงวัย (Silver Entrepreneurship)” ด้านสังคมและการศึกษา ในหัวข้อ “ความรู้เรื่องการเงินสำหรับผู้สูงวัย”

ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ประธาน ทอพ. กล่าวว่า การประชุมวิชาการ ทอพ. ประจำปี นับเป็นกิจกรรมหลักสำคัญที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 5 ครั้ง มีองค์กรสมาชิกผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นเจ้าภาพ ภายงานจะมีทั้งการสัมมนา การจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อน สังคมสูงวัย รวมทั้งการออกบูธแสดงนิทรรศการของหน่วยงานสมาชิก ทอพ. ทั้ง 18 หน่วยงาน

"ทอพ.จะร่วมกันใช้จุดแข็งของการเป็นหน่วยงานเฉพาะที่มีความชำนาญพิเศษ มีความคล่องตัว พร้อม ตอบสนองการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยให้เติบโต เข้มแข็ง ก้าวสู่เศรษฐกิจสังคมสูงวัยอย่างยั่งยืนต่อไป" ศ.นพ.สุทธิพันธ์ ระบุ

นายสุวรรณชัย  โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในฐานะเจ้าภาพจัดงานประชุมฯ กล่าวว่า สมาชิก ทอพ. ทั้ง 18 หน่วยงานตระหนักว่าการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นเมกะเทรนด์หรือพลวัตสำคัญ ที่สร้างผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อสังคมโลกรวมถึงประเทศไทย จึงร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยมาอย่างต่อเนื่อง ตามบทบาทภารกิจของแต่ละหน่วยงาน

"ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ของภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete aged society) ในปี 2564 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประมาณการว่า ประชากรอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 13 ล้านคน สูงถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และในปี 2583 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของคนไทย ทั้งนี้ ผู้สูงอายุวัยปลายที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป จะมีมากถึง 3.5 ล้านคน" นายสุวรรณชัย กล่าว

สำหรับประเทศไทย เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยนั้บตั้งแต่ปี 2548 เห็นได้จากสัดส่วนประชากรสูงวัยซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว จนมีจำนวนมากกว่าประชากรวัยเด็ก ในปี 2562  โดยข้อมูลจากกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากรทั้งหมด 66.4 ล้านคน เป็นประชากรสูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้น ไปจำนวน 10.67 ล้านคน หรือ 16.06%  ประกอบด้วยผู้สูงอายุชาย 4.72 ล้านคน และผู้สูงอายุหญิง 5.95 ล้านคน  โดยจังหวัดที่มีจำนวนประชากรสูงอายุมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ กรุงเทพมหานคร มีผู้สูงอายุกว่า 1 ล้านคน หรือ 17.98% ตามด้วย นครราชสีมา เชียงใหม่ ขอนแก่น และอุบลราชธานี

ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้บริหารองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (ทพอ.) 18 หน่วยงาน มีเป้าหมายร่วมกันในการ “ประสานพลังสร้างการจัดการองค์กรภาครัฐที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” โดยมีบทบาทภารกิจครอบคลุม 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6 องค์กร ได้แก่  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กลุ่มด้านสุขภาพ 5 องค์กร ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)กลุ่มด้านกองทุนหรือกลุ่มด้านเศรษฐกิจ 3 องค์กร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.), สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และ กลุ่มด้านการศึกษาและอื่นๆ 4 องค์กร ได้แก่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (พปส.),  สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (คส.), สถาบันอนุญาโตตุลาการ และสำนักงานกองทุนยุติธรรม

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net