China Labour Bulletin สื่อที่ติดตามประเด็นแรงงานในประเทศจีน ระบุว่าปี 2564 ที่ผ่านมา คนทำงานในจีนหยุดงานประท้วง 1,093 ครั้ง เริ่มไต่ระดับขึ้นไปใกล้เคียงช่วงก่อนเกิด COVID-19
- ในปี 2564 ที่ผ่านมา คนทำงานในจีนหยุดงานประท้วง 1,093 ครั้ง เริ่มไต่ระดับขึ้นไปใกล้เคียงก่อนเกิด COVID-19 ที่จำนวน 1,385 ครั้ง เมื่อปี 2562
- การนัดหยุดงานประท้วงในภาคขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2563
- การประท้วงของพนักงานภาคบริการก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนทำงานในภาคนี้คือคนหนุ่มสาว
- สัดส่วนการประท้วงสูงสุดคือคนทำงานภาคการก่อสร้าง ส่วนใหญ่หยุดงานประท้วงเนื่องจากไม่ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ จากการทำงาน
27 ก.พ. 2565 China Labour Bulletin (CLB) สื่อที่ติดตามประเด็นแรงงานในประเทศจีนระบุว่าปี 2564 ที่ผ่านมา คนทำงานในจีนยังคงเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ทำให้ชีวิตไม่มั่นคง การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการแข่งขันระหว่างบริษัทต่างๆ อย่างดุเดือด ได้ทำให้คนทำงานหันไปใช้การนัดหยุดงานประท้วงและการรวมตัวกันเพื่อแก้ไขข้อพิพาทด้านแรงงาน
จากแผนที่การหยุดงานประท้วงในจีนที่จัดทำโดย CLB พบว่าในปี 2564 มีการหยุดงานประท้วง 1,093 ครั้ง เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ครั้ง จากปี 2563 ซึ่งตัวเลขในปี 2564 นี้เริ่มกลับขึ้นไปใกล้เคียงในช่วงก่อนเกิด COVID-19 ระบาด เมื่อปี 2562 ที่จำนวน 1,385 ครั้ง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ปี 2563 แรงงานในจีนประท้วงลดลง แต่ความคับข้องใจยังไม่ได้รับการแก้ไข
การนัดหยุดงานประท้วงในภาคขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปี 2563 ในขณะที่การประท้วงของพนักงานภาคบริการก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ความคับข้องใจของคนทำงานในอุตสาหกรรมบริการที่เพิ่มขึ้นอาจยังคงถูกประเมินต่ำเกินไป CLB ชี้ว่าคนทำงานในภาคบริการที่เป็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากได้ร้องเรียนและโพสต์สภาพการทำงานของตนเองบนโซเชียลมีเดียเพื่อขอความช่วยเหลือ
สงครามราคาระหว่างบริษัทจัดส่งพัสดุส่งผลให้ค่าแรงคนทำงานลดลง บางคนต้องยอมรับค่าจ้างน้อยกว่า 1 หยวนต่อการส่งของ 1 คำสั่งซื้อ คนทำงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำเริ่มนัดหยุดงานเมื่อฝ่ายบริหารปรับลดค่าจ้าง ในขณะเดียวกันการหยุดงานของพนักงานส่งอาหารหรือไรเดอร์ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประท้วงการลดค่าจ้างของแพลตฟอร์ม
นอกจากนี้คนขับแท็กซี่ ยังต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันและก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น สงครามราคาและตลาดที่ผันผวน ทำให้การประท้วงที่เกี่ยวข้องกับคนขับแท็กซี่มีกว่า 150 ครั้งในปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 116 ครั้งในปี 2563
CLB ระบุว่าเมื่อคนขับแท็กซี่เริ่มยื่นคำร้องและหยุดงานประท้วง พวกเขามักจะเรียกร้องความเป็นอิสระจากบริษัทมากขึ้น เนื่องจากบริษัท 'พ่อค้าคนกลาง' เหล่านี้มักจะลดเงินเดือนและช่วยเหลือคนขับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความต้องการของผู้บริโภคชนชั้นกลางใหม่ของจีนได้สร้างแรงกดดันให้กับคนทำงานด้วย คนทำงานไม่ได้รับค่าจ้างเมื่อร้านอาหารและโรงยิมล้มละลาย การปราบปรามโรงเรียนกวดวิชาเมื่อปีที่แล้วทำให้ครูในจีนต้องตกงานรวมทั้งมีการค้างจ่ายเงินค่าจ้าง ปี 2564 มีการนัดหยุดงาน 158 ครั้ง ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานบริการ และ 53 ครั้ง เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาและการฝึกอบรม
ที่มาภาพ: Wang Sing (อ้างใน CLB)
สัดส่วนการประท้วงสูงสุดคือคนทำงานในภาคการก่อสร้าง (ร้อยละ 38) แม้ว่าสัดส่วนโดยรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ร้อยละ 45) จากการหยุดงานประท้วงของคนทำงานภาคการก่อสร้าง 118 ครั้งในปี 2564 มีถึง 72 ครั้ง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้า
โดยเฉพาะโครงการของ Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนที่มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยเมื่อปีที่แล้วบริษัทได้เร่งระดมเงินสดด้วยการขายทรัพย์สินและหุ้นของบริษัทออกไปจำนวนมากเพื่อหวังนำมาชำระหนี้ จากข้อมูลของ CLB ระบุว่าไซต์ก่อสร้างโครงการของ Evergrande กว่า 11 แห่ง ไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับคนทำงาน ส่วนใหญ่โครงการเหล่านั้นอยู่ในพื้นที่ หูหนาน หูเป่ย กวางสี และยูนนาน คนทำงานต้องนัดหยุดงานประท้วงเนื่องจากไม่ได้รับเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ จากการทำงาน
ส่วนจำนวนการนัดหยุดงานที่เกี่ยวข้องกับงานตกแต่งภายในและโครงสร้างพื้นฐานลดลง อาจเป็นเพราะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.9 เมื่อปี 2564 การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย สำนักงาน และอาคารพาณิชย์ ขยายตัวเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
ส่วนภาคการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยภาคส่วนสำคัญของการนัดหยุดงานประท้วง ในปี 2564 ลดลงเหลือเพียง 66 ครั้งเท่านั้น
ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2558-2559 เป็นต้นมา การประท้วงในโรงงานขนาดใหญ่มีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันการประท้วงหยุดงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงงานขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ที่เผชิญกับคำสั่งซื้อที่ลดลงและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น บีบให้ต้องลดค่าแรงคนทำงาน
เมื่อดูแนวโน้มในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการหยุดงานประท้วงที่เกี่ยวข้องกับคนงานในภาคการผลิตลดลงเหลือเพียง ร้อยละ 5 ในปี 2564 จาก ร้อยละ 20 ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการหยุดงานประท้วงที่เกี่ยวข้องกับคนงานในภาคบริการยังคงค่อนข้างคงที่ที่ ร้อยละ 15-20 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ส่วนการประท้วงในภาคขนส่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 ในปี 2560 เป็น ร้อยละ 35 ในปี 2564
CLB คาดว่าในปี 2565 นี้ภาคการขนส่งและบริการจะยังคงเป็นภาคที่มีการแข่งขันที่รุนแรงที่สุด ส่งผลให้เกิดทั้ง 'ความเติบโต' และ 'การล่มสลาย' ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงการประท้วงของคนทำงาน
ส่วนในภาคการผลิตและเหมืองแร่ ระบบอัตโนมัติและการพัฒนาทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงแบบแผนด้านแรงงานสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม ซึ่งการประท้วงของคนทำงานก็ยังจะลดลงต่อไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)