งานวิจัยองค์กรแรงงานระบุ บริษัทชั้นนำ 50 แห่งของโลกมีความมั่งคั่งรวมกัน 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ฯ มีการใช้แรงงานแฝงในสายพานห่วงโซ่อุปทานธุรกิจถึง 116 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าพนักงานประจำของตนเพื่อลดต้นทุน

ประมาณการกำลังแรงงานแฝงของบริษัทชั้นนำ 50 ของโลก ซึ่ง ITUC ประเมินว่ามีรวมกันถึง 116 ล้านคน

30 ม.ค. 2559 สมาพันธ์สหภาพแรงงานสากล (International Trade Union Confederation – ITUC) เปิดเผยรายงาน Scandal: Inside the global supply chains of 50 top companies ระบุว่าเพียง 50 บริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิเช่น Samsung, McDonalds, Nestle ฯลฯ มีความมั่งคั่งรวมกันถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ฯ และบริษัทเหล่านี้ยังได้สร้างรูปแบบการใช้แรงงานแบบใหม่ โดยพวกเขาใช้กำลังแรงงานแฝงในสายพานห่วงโซ่อุปทานธุรกิจถึง 116 ล้านคน และเมื่อตามรอยการทำธุรกิจของบริษัทชั้นนำเหล่านี้พบว่ามีขอบเขตครอบคลุมเกือบทุกประเทศในโลก

ในรายงานฉบับนี้ของ ITUC ระบุว่าความมั่งคั่งรวมกันของ 24 บริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เช่น Amazon, Walmart และ Walt Disney ฯลฯ สามารถซ้อประเทศแคนาดาได้ทั้งประเทศ ส่วน 9 บริษัทชั้นนำในเอเชีย เช่น Foxconn, Samsung และ Woolworths ฯลฯ มีมูลค่ารวมกันเท่ากับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ 7 บริษัทในยุโรป เช่น Siemens, Deutsche Post และ G4S ฯลฯ ก็มีมูลค่าเทียบเท่ากับประเทศมาเลเซียเลยทีเดียว แต่งทั้งนี้พบว่าการแบ่งปันผลกำไรให้กับแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานแฝงที่ไม่ได้เป็นพนักงานโดยตรงกับบริษัทเหล่านี้กลับมีน้อยนิดเท่านั้น

ตัวอย่างการเฉลี่ยผลกำไรที่ไม่เป็นธรรม ข้อมูลจาก ITUC เสื้อผ้าที่ขายในร้านค้าปลีกชื่อดังนั้นแรงงานผู้ผลิตในประเทศบังกลาเทศจะได้ผลตอบแทนเพียง 0.6% ของราคาที่ตั้งขายเท่านั้น

ITUC ระบุว่าผลกำไรของบริษัทเหล่านี้เกิดจากการจ้างงานค่าแรงต่ำในหลายพื้นที่ของโลก โดยแรงงานค่าแรงต่ำที่เป็นเหมือนกำลังแรงงานแฝงของบริษัทยักษ์ใหญ่นั้น มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่มีความมั่นคงในการทำงานเพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะถูกจ้างงานโดยสัญญาระยะสั้น รวมทั้งยังไม่มีสิทธิในการรวมตัวกันเพื่อเจรจาต่อรองอีกด้วย